posttoday

เลขาฯกฤษฎีกาหนุนกสศ.สร้าง"ระบบนิเวศการเรียนรู้ตลอดชีวิต"

19 มีนาคม 2564

เลขาฯกฤษฎีกาหนุนกสศ.ดึงทุกภาคส่วนร่วมสร้าง“ระบบนิเวศการเรียนรู้ตลอดชีวิต”แก้ปัญหาเด็กนอกระบบการศึกษา สอดคล้องร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต

เมื่อวันที่19มีนาคม2564 นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ในฐานะอดีตคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาเปิดเผยว่า สนับสนุนกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ที่ส่งเสริมการสร้าง “ระบบนิเวศการเรียนรู้ตลอดชีวิต” หรือ Lifelong Learning Ecosystem แก่เด็กและเยาวชนแรงงานนอกระบบการศึกษาสอดคล้องกับ ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต พ.ศ... ที่มี นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการยกร่าง ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการออกเป็นกฎหมาย

สำหรับสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต พ.ศ.... คือ การสร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเข้ามาส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดทุกช่วงวัยของชีวิต ให้กับเด็กที่อยู่ในระบบการศึกษาและเด็กนอกระบบการศึกษา โดยไม่เน้นจัดตั้งเป็นองค์กร แต่เน้นสร้าง “ภาคีความร่วมมือ” และ “การมีส่วนร่วม” จากทุกภาคส่วนในพื้นที่ เนื่องจากการ “พัฒนาคน” ไม่อาจหยุดอยู่ในระบบการศึกษา หรือ โรงเรียนเท่านั้น แต่เด็กและเยาวชน ต้องได้รับการพัฒนาไปตลอดชีวิตเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ยิ่งปัจจุบันทิศทางการศึกษาทั่วโลกคล้ายกัน คือ มุ่งเน้น “การเรียนรู้ตลอดชีวิต” เพื่อพัฒนาคนให้มีทักษะที่หลากหลาย หรือ Multi-skill

สำหรับปัญหาเด็กนอกระบบการศึกษา ตัวอย่างเช่น เยาวชนแรงงานนอกระบบการศึกษา ทางผู้ประกอบกิจการ ควรร่วมสร้างระบบนิเวศที่ส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกับภาครัฐ ภาคประชาสังคม หรือ ชุมชน ด้วยการส่งเสริมพนักงานในโรงงานตัวเองมี Multi-skill ตัวอย่างเช่น โครงการพัฒนาครูและเด็กนอกระบบการศึกษา โดยเครือข่ายเชิงพื้นที่: ภาคตะวันออก (จังหวัดปราจีนบุรี) ที่มีความร่วมมือกับ สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงาน ,มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิทยาเขตปราจีน และกลุ่มสหภาพแรงงาน จัดกิจกรรมสอน ขายของออนไลน์ อย่างไรก็ตามนอกจากทักษะอาชีพแล้ว ควรต้องเติมความรู้เรื่อง "การใส่ใจบริการ” หรือ Service mind เข้าไปด้วย เพราะความคิดคนทั่วไปจะรอให้ลูกค้าเดินเข้ามาหานั้นเป็นวิธีคิดแบบ Passive แต่หากมีหัวใจบริการจัดทำบัญชีให้บริการลูกค้า เช่น ช่างแอร์ พอถึงรอบระยะเวลาล้างก็โทรศัพท์ไปสอบถามลูกค้าเพื่อนัดล้างแอร์แบบให้บริการถึงบ้าน ดังนั้นการมีทักษะอาชีพอย่างเดียวไม่อาจก้าวไปเป็นผู้ประกอบกิจการได้หากไม่มีหัวใจบริการนี่คือ ทักษะชีวิต และ Multi-skill ที่ต้องชี้ช่องทางให้เยาวชนแรงงานได้รับรู้

สำหรับระบบการศึกษาในโรงเรียน ปัจจุบันยอมรับว่าควรมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง อาทิ 1.การสอบแข่งขันควรเน้นการคิดวิเคราะห์มากกว่ากากบาทเลือกข้อที่ถูกที่สุด ซึ่งการคิดวิเคราะห์ด้วยการสอบข้อเขียนควรเริ่มตั้งแต่ระดับมัธยมต้น สิ่งที่สะท้อนออกมา คือ ความง่าย ด้วยการให้นักเรียนเลือกตอบเพียง ก ข ค และ ง ซึ่งสัดส่วนการตอบถูก 25% 2.การเรียนการสอนควรน้อยวิชา 4 – 5 วิชาต่อวันถือว่ามากแล้วและควรเลิกเรียนไม่เกิน 15.00 น. เพราะการเรียนการสอนในต่างประเทศ คือ เรียนน้อย(เวลาและวิชา) แต่เน้นเรียนให้รู้จริงจากการปฏิบัติจริง

3.ควรมี “วิชาทางเลือก” ให้เด็กเลือกเรียนเองอย่างอิสระแบบเปิดกว้าง เพื่อให้เด็กได้ค้นหาศักยภาพ หรือ ความถนัดของตัวเองว่าชอบวิชาใด จากนั้นเมื่อเด็กเรียนจบจะตัดสินใจเองว่าจะไปเรียนต่อหรือแสวงหาความรู้ใหม่ได้ที่ไหน เพราะเด็กแต่ละคนมีความถนัด หรือ พรสวรรค์ ไม่เหมือนกัน และ วิชาบังคับควรเป็น “วิชาพละ” เพราะเด็กอยู่ในช่วงวัยกำลังเติบโตควรเล่นกีฬาและออกกำลังกายอยู่เสมอเพื่อให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ดังนั้นระบบการศึกษาแบบเดิม one-size-fits-all ในโรงเรียนไม่ควรนำมาใช้อีก แต่ควรมุ่งมองหาความถนัด หรือ Talent ในตัวเด็กออกมาแล้วสนับสนุนส่งเสริมไปให้ได้มากที่สุด

4.การเรียนในระบบการศึกษาควรเน้นสอนให้รู้จักใช้ “เหตุผล” แต่ระบบการศึกษาปัจจุบันเน้นสอนให้เรียนแบบท่องจำและสอนให้เชื่อ

ปัญหาสำคัญของการศึกษาไทย คือ ไม่มีการกำหนด “Basic Law ด้านการศึกษา” ที่ต้องบ่มเพาะสั่งสอนให้เด็กและเยาวชนในหรือนอกระบบการศึกษา ได้รับรู้ว่าทุกคนไม่ว่าจะประกอบอาชีพใดมีเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และคุณค่าเสมอกัน เช่น ช่างตัดผม แม้แต่นายกรัฐมนตรี หรือ นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ยังตัดผมเองไม่ได้ การเคารพซึ่งกันและกันเป็นสิ่งที่มีความหมาย เพราะไม่มีใครสามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเองเพียงคนเดียว และ ใน ร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต พ.ศ.ได้ส่งเสริมการปลูกฝัง “ทักษะชีวิต” ให้เด็กและเยาวชนได้เกิดการเรียนรู้ตั้งแต่ในโรงเรียน หรือ นอกระบบการศึกษาไว้ด้วย ตัวอย่างเช่น พ่อแม่ควรสอนให้ลูกหารายได้เสริมในช่วงเรียน Part-time เพื่อให้รู้จักคุณค่าของเงิน การลงทุน และ รู้จักมัธยัสถ์อดออม มิใช่ตามใจใช้ชีวิตแบบฟุ่มเฟือยและปล่อยให้เด็กไปเรียนรู้ทักษะชีวิตด้วยตัวเอง