posttoday

ประหาร!! "บรรยิน" คดีฆ่า "เสี่ยชูวงษ์"

20 มกราคม 2564

ศาลอาญาพระโขนง พิพากษา ประหารชีวิต "พ.ต.ท.บรรยิน" คดีฆ่า"เสี่ยชูวงษ์" อำพรางคดีเป็นอุบัติเหตุรถชน

เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 64 ศาลอาญาพระโขนง ถ.สรรพาวุธ  ศาลอ่านคำพิพากษาคดีฆาตกรรมเสี่ยชูวงษ์ ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ จากศาลไปยังเรือนจำที่คุมขังของจำเลย ตามมาตรการป้องกันความเสี่ยงช่วงการระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 (COVID-19)

โดยคดีดังกล่าว นางศิริรัตน์ แซ่ตั้ง ภรรยาของนายชูวงษ์ แซ่ตั๊งหรือเสี่ยจืด และบุตรรวม 4 คน เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องคดีเอง มี พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต ส.ส.นครสวรรค์ และอดีต รมช.พาณิชย์ เป็นจำเลยในคดีหมายเลขดำ อ. 1951/2561 ซึ่งภายหลังต่อมาอัยการ ก็ได้ยื่นฟ้องด้วยเป็นหมายเลขดำ อ. 4915/2549 โดยศาลมีคำสั่งให้รวมพิจารณาพิพากษาทั้ง 2 คดีเข้าด้วยกัน

ทั้งนี้พฤติการณ์คดี โจทก์ทั้งห้าฟ้องว่าเมื่อวันที่ 26 มิ.ย.58 จำเลยกับพวกร่วมกันวางแผนฆ่าและฆ่านายชูวงศ์ แซ่ตั๊ง ผู้ตาย โดยไตร่ตรองไว้ก่อนและเพื่อเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิด เพื่อปกปิดความผิดของตน หรือเพื่อเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดที่ตนได้กระทำไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) (7) เหตุเกิดที่ตำบลบางโฉลง กับตำบลบางแก้ว อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ และแขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร ต่อเนื่องเกี่ยวกันกัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4) (7) และขอให้นับโทษต่อจากโทษของจำเลยที่ 3 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ. 636/2563 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ และนับโทษต่อจากโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท.69/2563 ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง

ด้านจำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลเดียวกันกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ

ขณที่ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งห้าและจำเลยโดยตลอดแล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังเป็นที่ยุติว่า นายชูวงศ์ แซ่ตั๊ง ผู้ตายกับจำเลยเป็นเพื่อนกัน เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.58 จำเลย ผู้ตาย และนายชาญศักดิ์ ธนเตชา คนสนิทของจำเลยกับเพื่อนคนอื่น ๆ ร่วมเล่นกอล์ฟที่สนามกอล์ฟเลควูด คันทรี่คลับ และร่วมรับประทานอาหารเย็นโดยเรียกเก็บเงินค่าอาหารเมื่อเวลา 19.51 น. หลังจากนั้นจำเลยขับรถยนต์ประเภทเอสยูวี ยี่ห้อเล็กซัส สีดำ หมายเลขทะเบียน ภฉ 1889 กรุงเทพมหานครโดยมีผู้ตายนั่งมาในรถเพียงลำพัง 2 คน ออกจากสนามกอล์ฟ และรถยนต์คันที่จำเลยขับชนเข้ากับต้นไม้ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่รกร้างช่วงระหว่างถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ซอย 50 และ ซอย 48 และผู้ตายถึงแก่ความตาย ส่วนจำเลยได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์ทั้งห้า มีพยานกลุ่มพนักงานสืบสวนสอบสวน นำสืบว่าจำเลยให้การในชั้นสอบสวนว่าวันเกิดเหตุจำเลยขับรถพาผู้ตายออกจากสนามกอล์ฟเมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. เพื่อไปส่งผู้ตายที่บ้านโดยไม่ได้แวะที่ใด ระหว่างทางขณะที่จำเลยขับรถด้วยความเร็วประมาณ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อขับรถไปถึงบริเวณถนน เฉลิมพระเกียรติ ร.9 ระหว่างซอย 50 และซอย 48 มีรถยนต์จากฝั่งตรงข้ามวิ่งแซงสวนทางล้ำเข้ามาในช่องทางเดินรถที่ 2 จากซ้ายที่จำเลยใช้อยู่ จำเลยจึงต้องหักเลี้ยวรถหลบไปทางซ้าย รถยนต์กระแทกขอบทางเท้าและพุ่งผ่านรั้วลวดหนามเข้าไปตรงบริเวณที่รกร้างข้างทางและชนเข้ากับต้นไม้เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย

ส่วนนายชาญศักดิ์ คนสนิทของจำเลยให้การในชั้นสอบสวนว่า ขับรถออกจากสนามกอล์ฟเมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. เช่นกัน แต่จากการสืบสวนสอบสวน พบภาพรถยนต์ของจำเลยขับผ่านกล้องวงจรปิดตรงบริเวณธนาคารกสิกรไทย สาขาถนนบางนา-ตราด กม.18 ที่ตั้งอยู่ตรงปากทางเข้าออกสนามกอล์ฟเมื่อเวลา 20.11 น. และพบรถยนต์ของนายชาญศักดิ์ขับผ่านกล้องวงจรปิดดังกล่าวเมื่อเวลา 20.14 น.

นอกจากนั้นยังตรวจสอบพบข้อมูลการใช้สัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยที่เสาบางโฉลงใน 1 ตรงบางนา-ตราด กม.16 เมื่อเวลา 20.29 น.และที่เสาซอยรัตนราช ตรงบางนา-ตราด กม.17 เมื่อเวลา 21.06 น.ซึ่งเสาทั้งสองตั้งอยู่ห่างจากสนามกอล์ฟประมาณ 3 กิโลเมตร จึงเชื่อว่า จำเลยขับรถพาผู้ตายออกจากสนามกอล์ฟเมื่อเวลาประมาณ 20.11 น. มิใช่ 21.00 น. อย่างที่จำเลยกล่าวอ้าง

และจากการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดตรงบริเวณใกล้กับจุดที่รถยนต์ชนต้นไม้พบว่า จำเลยใช้ช่องทางเดินรถที่ 1 จากซ้ายและขับรถที่ความเร็วประมาณ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งโจทก์ทั้งห้ายังมีกลุ่มพยานผู้เชี่ยวชาญผู้ทำการทดสอบการขับรถเบิกความยืนยันว่า จากการทดสอบพบว่าจำเลยใช้ความเร็วรถขณะชนทางเท้าและปะทะกับต้นไม้ที่ประมาณ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จึงเชื่อว่าขณะที่จำเลยหักเลี้ยวรถไปทางซ้ายและชนกับทางเท้าจำเลยใช้ความเร็วรถประมาณ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

อีกทั้งยังพยานกลุ่มเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยนำสืบว่าเมื่อไปถึงจุดที่รถยนต์ชนต้นไม้ ผู้ตายไม่มีสัญญาณชีพแล้วไม่สามารถปั๊มหัวใจจนกลับมามีสัญญาณชีพได้ และม่านตาขยาย ซึ่งมีพยานกลุ่มแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนำสืบด้วยว่า จากการชันสูตรศพผู้ตาย พบบาดแผลบวมช้ำที่ศีรษะด้านหลังซ้ายพื้นที่ 8×6 เซนติเมตร บาดแผลถลอกบริเวณคาง กระดูกคอข้อที่ 6 และ 7 หัก และพบเศษเนื้อสัตว์และผักเต็มกระเพาะอาหาร และระบุสาเหตุการตายว่าเลือดออกใต้เยื้อหุ้มสมองชั้นใน สมองบวม จากการกระทบกระแทกของแข็ง

นอกจากนี้ยังมีพยานกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการขับรถเบิกความด้วยว่า รถยนต์คันเกิดเหตุมีเบาะรองศีรษะ เมื่อเกิดอุบัติเหตุไม่น่าส่งผลให้กระดูกคอข้อที่ 6 และ 7 หัก และมีความเห็นทำนองว่าสภาพบาดแผลที่พบอันเป็นสาเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายไม่สอดคล้องกับลักษณะการเกิดอุบัติเหตุ อีกทั้งการที่ตรวจพบเศษอาหารเต็มกระเพาะอาหารของผู้ตาย แสดงว่าผู้ตายถึงแก่ความตายหลังจากรับประทานอาหารมื้อสุดท้ายประมาณครึ่งชั่วโมงถึง 1 ชั่วโมง

ดังนั้นเมื่อจำเลยขับรถพาผู้ตาย ออกจากสนามกอล์ฟเมื่อเวลา 20.11 น. และเกิดเหตุรถยนต์ชนต้นไม้เมื่อเวลาประมาณ 22.00 น. จึงเป็นเวลาเกือบ 2 ชั่วโมง จึงเชื่อว่าผู้ตายถึงแก่ความตายมาก่อนที่จะเกิดเหตุรถยนต์ชนต้นไม้ และบาดแผลบวมช้ำที่ศีรษะด้านหลังซ้ายของผู้ตาย กระดูกต้นคอผู้ตายข้อที่ 6 และ 7 หัก และรอยถลอกใต้คางของผู้ตาย ไม่ได้เกิดจากการที่รถยนต์ชนต้นไม้

โดยโจทก์ทั้งห้า ยังมีพยานกลุ่มพนักงานสืบสวนสอบสวนเบิกความอีกว่า จำเลยมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับ น.ส.อุรชา วชิรกุลฑล บุตรสาวของน.ส.ศรีธรา และน.ส.กัญฐณา และได้ร่วมกับน.ส.อุรชา (กลุ่มจำเลยถูกฟ้องคดีปลอมเอกสารการโอนหุ้นเสี่ยชูวงษ์) และน.ส.กัญฐณาปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมเพื่อโอนหุ้นของผู้ตายไปยังน.ส.ศรีธราและน.ส.กัญฐณา

ส่วนจำเลยอ้างตนเองเป็นพยาน เบิกความลอย ๆ โดยไม่ได้นำพยานหลักฐาน หรือผู้เชี่ยวชาญมาหักล้าง

ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า เพื่อไม่ให้ผู้ตายทราบถึงการกระทำความผิดที่จำเลยร่วมกับน.ส.อุรชา และน.ส.กัญฐณา ปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมในการโอนหุ้นของผู้ตาย ไปให้น.ส.ศรีธราหรืออุรชา และน.ส.กัญฐณา จำเลยจึงร่วมกับผู้อื่นที่ไม่ทราบชื่อและจำนวนที่แน่นอนวางแผนฆ่าผู้ตาย โดยสร้างเรื่องราวว่าในวันเกิดเหตุ ผู้ตายมีนัดเล่นกอล์ฟกับจำเลยและผู้ใหญ่ที่ผู้ตายเคารพนับถือไว้ ผู้ตายจึงจำต้องไปเล่นกอล์ฟด้วยโดยไม่อาจปฏิเสธได้ หลังจากนั้นวางแผนอ้างว่าจะขับรถพาผู้ตายไปส่งที่บ้าน แต่กลับใช้โอกาสดังกล่าวร่วมกับพวกฆ่าผู้ตายโดยใช้อาวุธที่เป็นวัตถุของแข็งไม่มีคมตีผู้ตายจนถึงแก่ความตาย ณ บริเวณสถานที่ใดที่หนึ่งใน ตำบลบางโฉลง อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นจุดที่ปรากฏข้อมูลการใช้สัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยจากเสาส่งสัญญาณบางโฉลงใน 1 และเสาซอยรัตนราช ที่ห่างกันเพียงประมาณ 1 กิโลเมตร และห่างจากสนามกอล์ฟประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นเวลานานถึง 37 นาที และอำพรางคดีว่าสาเหตุการตายของผู้ตายเกิดจากอุบัติเหตุรถยนต์ชนต้นไม้ตรงบริเวณถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ระหว่างซอย 50 และซอย 48 แขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร

การกระทำของจำเลยกับพวกจึงเป็นการร่วมกันกระทำโดยเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและเพื่อเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิด เพื่อปกปิดความผิดของตน หรือเพื่อเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดที่ตนได้กระทำไว้ จำเลยกระทำความผิดด้วยความโลภอยากได้ในทรัพย์สินของผู้อื่นเป็นอย่างมากโดยอาศัยโอกาสและความไว้เนื้อเชื่อใจในความเป็นเพื่อนสนิทระหว่างจำเลยกับผู้ตาย และคบคิดกับพวกด้วยการวางแผนและลงมือฆ่าผู้ตายจากนั้นปกปิดการกระทำโดยสร้างเรื่องและอำพรางคดีว่าสาเหตุการตายของผู้ตายเกิดจากอุบัติเหตุ เมื่อถูกจับกุมดำเนินคดี ก็มิได้รู้สำนึกในการกระทำของตนและบรรเทาผลร้ายแต่อย่างใด แต่กลับปฏิเสธและต่อสู้คดีมาโดยตลอด ทั้งจำเลยยังเคยรับราชการเป็นเจ้าพนักงานตำรวจชั้นสัญญาบัตร มีความรู้ด้านกฎหมาย จึงควรต้องมีสำนึกและความรู้ผิดชอบชั่วดี แต่จำเลยกลับกระทำความผิดโดยมิได้ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง

จึงพิพากษาว่า จำเลยมีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) (7) ประกอบมาตรา 83 ให้ลงโทษประหารชีวิต

ส่วนที่โจทก์ที่ 5 (อัยการ) มีคำขอให้นับโทษจำคุกจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ. 636/2563 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ และต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท.69/2563 ของศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลางนั้น เนื่องจากศาลมีคำพิพากษาลงโทษประหารชีวิตนี้แล้วจึงไม่อาจนับโทษจำคุกต่อได้ ให้ยกคำขอในส่วนนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ดี พ.ต.ท.บรรยิน จำเลย ยังสามารถใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์คดีได้ตามกฎหมายภายในเวลา 1 เดือนนับจากที่มีการอ่านคำพิพากษาในวันนี้