posttoday

เปิดเบื้องหน้าเบื้องหลังคดีดาราดัง เอมี่ ศาลพลิกตัดสินติดคุกตลอดชีวิต

22 สิงหาคม 2563

ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาดาราเอมี่คดียาเสพติดจากคุก 3 เดือนเป็นคุกตลอดชีวิต อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ แฉตำรวจสมคบทนายความปลอมเอกสารทำน้ำหนักคดีเบาหวิวในศาลชั้นต้นก่อนพบหลักฐานจริง...

นับเป็นอีกคดีที่สะเทือนวงการยุติธรรม เมื่อศาลอุทธรณ์ออกมากลับคำพิพากษาดาราเอมี่ในคดียาเสพติดจากจำคุก 3 เดือนเป็นจำคุกตลอดชีวิตโดยลดโทษให้เหลือจำคุก 33 ปี คดีนี้อาจจะไม่พลิกผันเช่นนี้หากไม่มีนักเคลื่อนไหวในวงการตำรวจอย่าง อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ออกมาขุดคุ้ยคดีตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน จนทำให้รู้ว่าตำรวจสมคบกับทนายความชื่อดังปลอมแปลงเอกสารทำให้น้ำหนักคดีเบาหวิวในศาลชั้นต้น ก่อนที่จะพบหลักฐานจริงในชั้นศาลอุทธรณ์นำไปสู่การพิจารณาที่ยุติธรรม และยังทำให้ตำรวจถูกตรวจสอบและทนายความต้องถูกดำเนินคดีในคดีนี้ด้วย

เมื่อวันที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมา มีคดีดังที่พลิกแฟ้มคดีตีกลับเกิดขึ้นที่ศาลอาญามีนบุรี ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีที่พนักงานอัยการคดียาเสพติด เป็นโจทก์ฟ้อง นายปุณยวัจน์ หรือพล หิรัณย์เตชะ อายุ 41 ปี และ น.ส.อาเมเรีย จาคอป หรือเอมี่ อายุ 29 ปี นางเอกสาวลูกครึ่งไทย-เนเธอร์แลนด์ อดีตนางเอกละครธิดาวานร และอดีตมิสทีนไทยแลนด์ ปี 2006 ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีน หรือยาไอซ์ และยาอี อันเป็นยาเสพติดประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อเสพและจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย

คดีนี้เกิดขึ้นวันที่ 19 ก.ย. 60 จำเลยทั้งสองร่วมกันมียาไอซ์ หนัก 70 กรัม และยาอี 16 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อเสพและจำหน่าย พร้อมเครื่องชั่งน้ำหนักดิจิตอล อุปกรณ์ในการเสพ ขณะที่จำเลยที่ 2 กำลังเสพยาเสพติดภายในห้องพักก่อนถูกตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษ 191 บุกเข้าตรวจค้น และจับกุมได้ที่บ้านเลขที่ 100/84 หมู่บ้านชัยพฤกษ์ ถนนสุขาภิบาล 5 แขวงออเงิน เขตสายไหม กทม. โดยศาลชั้นต้นสั่งจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 25 ปี 4 เดือน 15 วัน ปรับ 750,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 จำคุก 3 เดือน ปรับ 5,000 บาท แต่ให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี และให้รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ ทุก 3 เดือน ภายใน 1 ปี พร้อมตรวจสารเสพติดทุกครั้ง รวมถึงให้ร่วมทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์ 24 ชั่วโมง

ต่อมาศาลอุทธรณ์ สั่งแก้โทษจำคุกจำเลยที่ 2 โดยเห็นว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ 2522 ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต และปรับ 1,000,000 บาท อย่างไรก็ตามคำให้การในชั้นสอบสวนและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างนับว่ามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยไว้ 33 ปี 4 เดือน ปรับ 666,666.67 บาท เรียกได้ว่าเป็นการตัดสินแบบพลิกคดี แต่อย่างไรก็ตามการอ่านคำพิพากษาครั้งนี้เป็นการอ่านลับหลังจำเลยที่ 2 เนื่องจากดาราสาวเอมี่ อาเมเรีย ได้ขยับปีบินออกนอกประเทศไปแล้วก่อนหน้านี้ ศาลจึงได้ออกหมายจับค้างไว้

ทั้งนี้จากข้อมูลของตำรวจพบว่าเอมี่เดินทางออกจากประเทศไปหลังจากการพิพากษาคดีของศาลชั้นต้นในระหว่างที่รอลงอาญา โดยถือหนังสือเดินทางเลขที่ AB1718637 เดินทางออกเมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2562 โดยสายการบินเอมิเรต เที่ยวบินที่ EK0385 จากสนามบินสุวรรณภูมิไปยังเมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรต ซึ่งแหล่งข่าวยืนยันด้วยว่าเธอเดินทางออกไปกับพ่อของเธอเอง โดยปัจจุบันยังไม่มีรายงานการเดินทางกลับมายังประเทศไทย

ที่มาของคดีที่พลิกผันหากย้อนอดีตไปดูจะพบว่า เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2561 นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้เข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อ พล.ต.ท. ชาญเทพ เสสะเวช ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ในขณะนั้น โดยระบุว่าได้รับร้องเรียนจากพลเมืองดีว่า คดียาเสพติดซึ่งมีนายปุณยวัจน์ และ เอมี่ ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีดังกล่าวนั้น มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายฝ่ายร่วมกันทุจริตในการช่วยเหลือให้ เอมี่ หลุดพ้นคดีร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดในศาลชั้นต้น หลังการร้องเรียนทำให้ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล มีคำสั่ง แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยให้ พล.ต.ต.สมพงษ์ ชิงดวง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ในขณะนั้น เป็นประธานสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง

ต่อมาถัดมาเพียงเดือนเศษเมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2561 นายอัจฉริยะ ได้เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ พล.ต.ท.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น รักษาราชการแทน ผบช.น. (คนใหม่สมัยนั้น) ให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีนายตำรวจยศ ร.ต.ท.สังกัดรอง สารวัตรป้องกันและปราบปราม สน.ธรรมศาลา พร้อมพวกรวม 5 คน หลังพบว่าขายเอกสารบันทึกจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญในกองบัญชาการตำรวจนครบาล นำไปใช้ช่วยเหลือพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ในพื้นที่ภาค 7 เพื่อขอลดหย่อนโทษ ตามมาตรา 100/2 ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ เนื่องจากกลุ่มดังกล่าวกระทำความผิดและเป็นขบวนการเดียวกันกับคดี เอมี่

นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ตอนนั้นได้นำหลักฐานมามอบให้ รรท.ผบช.น.ตั้งคณะกรรมการสืบสวนรอง สวป.สน.ธรรมศาลา พร้อมพวกรวม 5 คน มีพฤติการณ์การขายสำนวนคดียาเสพติดในราคา 1.5 ล้านบาท สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ รอง สวป.สน.ธรรมศาลา พร้อมพวก 5 คน ขยายผลจับกุมนายวิรัช ปลีกกล่ำ และนายวิษณุ บรรทจิตร เป็นผู้ต้องหา พร้อมของกลางยาบ้า 1 แสนเม็ด เหตุเกิดเมื่อวันที่ 23 พ.ค. 59 โดยระบุว่าขยายผลจากเบาะแสของภรรยาผู้ต้องหาค้ายาเสพติดรายใหญ่คนหนึ่งที่เดินทางไปเยี่ยมสามีที่เรือนจำจังหวัดสมุทรสาคร เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 59 โดยนำข้อมูลจดหมายสามีที่ตกเป็นผู้ต้องหาค้ายาเสพติดขยายผลไปสู่การจับกุมผู้ต้องหาเพิ่มเติมเพื่อขอลดหย่อนโทษ ตามกฎหมายมาตรา 100/2 พ.ร.บ.ยาเสพติด โดยศาลมีคำพิพากษาลดโทษจากประหารชีวิต เหลือจำคุก 12 ปี 6 เดือน

นายอัจฉริยะ กล่าวด้วยว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นมีพิรุธว่าภรรยาของนักโทษรายดังกล่าวไม่ได้ไปเยี่ยมสามีตามวันเวลาที่กล่าวอ้าง จากการสอบถามนายวิรัชและนายวิษณุก็ไม่เคยรู้จักกับผู้ต้องหาที่ได้ลดหย่อนโทษดังกล่าว รวมถึงพบพิรุธของบันทึกจับกุมนายวิรัชและนายวิษณุถูกทำขึ้น 2 ครั้ง โดยมีบันทึกจับกุมวันที่ 23 พ.ค. 2559 ถูกเผยแพร่ให้กับสื่อมวลชน เป็นที่น่าสังเกตว่าทำไมมีบันทึกจับกุมในวันที่ 22 พ.ค. 2559 ที่ถูกทำขึ้นมาก่อนจับกุมจริง ขบวนการกระทำผิดมีทนายชื่อดังร่วมกับตำรวจและอัยการ ช่วยเหลือผู้ต้องหาคดียาเสพติดโดยกระทำลักษณะนี้มาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 คดี ตั้งแต่ปี 2559 รวมทั้งคดีของดาราสาวเอมี่ด้วย

ต่อมา เมื่อ 4 ก.พ. 2563 ตำรวจชุดสืบสวนนครบาล 3 พร้อมด้วยตำรวจ สน.มีนบุรี นำกำลังพร้อมหมายจับของศาลอาญามีนบุรี เข้าจับกุม นายษิทธา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั๊ม ทนายความชื่อดัง บริเวณด้านหน้าสำนักงานกฎหมายสิทธาเบี้ยบังเกิด เลขที่ 67/4 ถ.เศรษฐกิจ ต.คลองมะเดื่อ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร ตามหมายจับของศาลอาญามีนบุรี ในข้อหาร่วมกันปลอมและใช้เอกสารราชการปลอมในหลายคดีรวมทั้งคดีเอมี่

โดยขณะนั้น นายษิทธา ได้ให้การปฏิเสธโดยระบุว่าโดยกลั่นแกล้งจากการทำหน้าที่ ด้าน นายอัจฉริยะ ระบุบนเฟสบุ๊กของชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมฯว่า ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ถูกจับกุมในข้อหาร่วมกันนำสืบ/แสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ/และเบิกความเท็จต่อศาลมีนบุรี ในคดีเอมี่ อาเมเรีย จาคอป โดยใช้เอกสาร พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ มาตรา 100/2 อันเป็นเท็จ

นายอัจฉริยะ กล่าวว่า คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์เป็นผลมาจากกรณีที่ตนได้นำพยานหลักฐานต่างๆ เข้ายื่นเรื่องร้องเรียนต่อ บช.น. เพื่อขอให้ตรวจสอบพฤติกรรมของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ หลังพบว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการสร้างพยานหลักฐานเท็จขึ้นมาเพื่อวิ่งเต้นสู้คดีให้ เอมี่ นางเอกสาว ที่ถูกจับในคดียาเสพติด เกี่ยวกับเรื่องนี้ตนยืนยันว่าไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้ง แต่ที่ต้องทำก็เพื่อความถูกต้องในสังคม

นายอัจฉริยะ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาตนมีพยานหลักฐานหลายอย่าง ทั้งหลักฐานเกี่ยวกับการขโมยบัตรข้าราชการตำรวจ บันทึกการจับกุมของ สน.ศาลาแดง รวมไปถึงคลิปเสียงของพยานที่อยู่ในเรือนจำ และอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อนำไปสร้างหลักฐานเท็จบิดเบือนข้อเท็จจริงในการช่วยเหลือนางเอกสาวต่อสู้คดี ซึ่งการจับกุมนายษิทราครั้งนั้นเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น เพราะจากหลักฐานที่ตรวจสอบพบนั้นเชื่อว่าน่าจะมีผู้ร่วมขบวนการอีกหลายราย ส่วน เอมี่ จะเกี่ยวข้องกับการสร้างพยานหลักฐานเท็จด้วยหรือไม่นั้น ขอให้เป็นทางหน้าที่ของตำรวจตรวจสอบ

“ในคดีของเอมี่ หากไม่มีข้อมูลการร้องเรียนจากทีมทนายด้วยกันเองที่มีความขัดแย้งกันเองจนนำความลับการล้มคดีโดยซื้อบันทึกจับกุมมาตราการพรบ.ยาเสพติด มาตรา 100/2 มาเกี่ยวข้องในการช่วยสามีเอมี่ให้รับโทษน้อยลงและมีการซื้อสำนวนการสอบสวนคดีนี้จากพนักงานสอบสวนมาอยู่ในมือของกลุ่มผู้ต้องหาและมีการแก้ไขและวางแผนในการต่อสู้คดีให้สองผัวเมียในคดีนี้โดยซื้อทนายของสามีเอมี่ให้พ้นจากคดี เพราะทนายความของสามีเอมี่ต่อสู้ว่ายาเสพติดอยู่ในบ้านของเอมี่หากปล่อยให้ทนายความของสามีเอมี่สู้คดีแบบนี้ เอมี่ต้องติดคุกร่วมกันแน่นอนจึงให้ญาติของเอมี่คุยกับสามีเอมี่ขอเปลี่ยนตัวทนายโดยอ้างว่าเพื่อสะดวกในการต่อสู้คดี” นายอัจริยะ กล่าว

เขาเล่าต่อว่า ในที่สุดสามี เอมี่ จึงยอมให้เปลี่ยนทนายที่ดูแลช่วยเหลือคดีจากทีมทนายเดิมมาเป็นกลุ่มของทนายษิทรา เมื่อผลคดีออกมาจนศาลชั้นต้นตัดสินว่าสามีเอมี่ถูกศาลจำคุก 25 ปี และเอมี่ถูกศาลชั้นต้นตัดสินจากผู้ค้าเป็นผู้เสพและโทษจำคุกรอลงอาญา ความลับที่ถูกเก็บไว้จึงถูกทนายเดิมนำมาร้องเรียนในการวิ่งล้มคดีกับชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม โดยมีพยานเอกสารสำคัญคือคำให้การของผู้ต้องหาในชั้นสอบสวนที่ไม่มีลายเซ็นของตำรวจแต่มีลายมือชื่อของผู้ต้องหาและทนายความ และบันทึกจับกุมของสน.ศาลาแดงที่นำมาใช้ยื่นขอลดโทษให้สามีของเอมี่แต่ศาลไม่เชื่อ ศาลจึงยกคำร้อง และคำเบิกความของตำรวจ 3 นาย ที่ให้การขัดแย้งกันเองที่มีหัวหน้าชุดจับกุมให้การไม่ตรงกับคำให้การในชั้นสอบสวน

จึงเป็นที่มาของการร้องเรียน ผบช.น. และ พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช ผบช.น. ในขณะนั้น ได้ตั้งกรรมการสอบตำรวจนครบาลทั้งหมด 5 นาย และพบว่าผลคดีมีมูล จนได้ข้อสรุปว่าตำรวจมีความผิดวินัยร้ายแรง 1 นาย ไม่ร้ายแรง 2 นาย พ้นผิด 2 นายในระหว่างนี้คณะกรรมการได้ตรวจสอบพบหลักฐานสำคัญเพิ่มเติม คือคลิปเสียงที่เรือนจำบันทึกเอาไว้ในการสนทนาว่ามีการซื้อบันทึกจับกุม ตามาตรา 100/2 จาก สน.ศาลาแดงโดยทนายจัดหาให้ และอ้างว่า เอมี่ ท้องในขณะติดคุกจึงขอให้สามีเอมี่รับผิดแทน จึงเป็นที่มาของการที่อัยการศาลสูงรวบรวมพยานหลักฐานใหม่กลับคำสั่งจนศาลอุทธรณ์เชื่อว่า เอมี่ ค้ายาจริงจึงจำคุก 33 ปี

“การที่มีการล้มคดีนี้ได้สำเร็จในศาลชั้นต้น เพราะขั้นตอนของพนักงานชุดจับกุมถูกซื้อตัวได้ และสามารถซื้อสำนวนการสอบสวนได้จนทำให้ทนายสายยาพวกนี้สามารถวางแผนคดีได้ โดยมีการทำคำให้การล่วงหน้า และสร้างพยานเท็จล่วงหน้าได้ เช่น ในคดีนี้อ้างว่า เอมี่ ไปเล่นไพ่บ้านเพื่อนโดยที่ไม่ทราบว่าสามีเอายามาซ่อน โดยนำพยานที่เล่นไพ่มาเบิกความในชั้นศาล และชุดสืบสวนให้การรู้กันว่าเห็นคน 3 คน เดินมาก่อน เอมี่ เดินเข้าบ้านทำให้ศาลเชื่อว่าไปเล่นไพ่จริงไม่รู้ว่ามีการเอายามาในวันที่ถูกจับกุม แต่แท้จริงแล้วในไลน์ของ เอมี่ มีการระบุว่า ยานำมาไว้ก่อนล่วงหน้า 7 วัน ก่อนจะโดนจับ และ เอมี่ เป็นผู้ชิมยาและจัดส่งรวมทั้งเก็บเงินลูกค้าจึงทำให้ศาลกลับคำพิพากษา” นายอัจฉริยะ กล่าว

เขากล่าวด้วยว่า จากนั้นในส่วนของทนายกับพวกจึงถูกศาลออกหมายจับกันในข้อหาสร้างพยานหลักฐานอันเป็นเท็จและเบิกความเท็จต่อศาล ส่วนตำรวจปัจจุบันยังไม่ได้มีการดำเนินคดีอาญาแต่อย่างใด

สำหรับนายษิทรานั้นก่อนหน้านี้ถือเป็นอีกหนึ่งบุคคลที่คอยออกมาเคลื่อนไหวยื่นเรื่องและให้ข้อมูลต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ให้ดำเนินการตรวจสอบโครงการตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคลด้วยระบบไบโอเมทริกซ์ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และยังเป็นตัวละครหนึ่งที่เกี่ยวพันกับคดียิงรถยนต์ของ บิ๊กโจ๊ก พล.ต.ท.สุรเ๙ษฐ์ หักพาล อดีตนายตำรวจชื่อดังที่ออกมาระบุทันทีว่า คดีนี้รถบิ๊กโจ๊กถูกยิงเพราะความขัดแย้งเรื่องไบโอเมตทริกกับนายตำรวจในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นอกจากนี้ยังยังโด่งดังในคดีหวย 30 ล้าน โดยเขาเป็นทนายความหลักให้กับหมวดจรูญ คู่กรณีกับครูปรีชาอีกด้วย อย่างไรก็ตามในคดีที่เขาถูกจับกุมนั้นขณะนี้คดีกำลังอยู่ในชั้นอัยการ.