posttoday

ตำรวจจับแอพฯเงินกู้นอกระบบรีดดอกเบี้ยโหด

22 มิถุนายน 2563

ตำรวจจับขบวนการปล่อยเงินกู้ผ่านแอพพลิเคชั่น รีดดอกเบี้ยโหด พบมีนายทุนเป็นต่างชาติ ลูกหนี้เผยหากไม่จ่ายหนี้จะถูกข่มขู่ คุกคามสารพัด

เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 63 พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะ ผู้อำนวยการศูนย์ ป้องกันปราบปราม การกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปน.ตร.) แถลงจับกุมขบวนการกู้ยืมเงินผ่านแอพพลิเคชั่นเงินกู้นอกระบบ ชื่อ "TRUE CASH PRO" ซึ่งมีการเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด

วิธีการของแอพพลิเคชั่นชนิดนี้ จะให้ผู้กู้ติดตั้งแอพพลิเคชั่นลงในโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเมื่อกู้ผ่านแล้วจะถูกหักค่าบริการออกจากเงินกู้ แต่ลูกหนี้ยังต้องชำระเงินเต็มจำนวนพร้อมดอกเบี้ย หากไม่ชำระตามกำหนดเวลา จะมีการทวงหนี้ในลักษณะข่มขู่ ด่าทอ คุกคาม และมีการส่งข้อความ SMS เกี่ยวกับการเป็นหนี้ให้แก่บุคคลที่สาม ทำให้ผู้กู้ได้รับความอับอาย และเสื่อมเสียชื่อเสียง

จากการสืบสวนพบว่า TRUE CASH PRO ดำเนินการโดยกลุ่มนายทุนต่างชาติ มีเงินหมุนเวียนในระบบต่อเดือน สูงถึง100ล้านบาท มีบัญชีเงินฝากที่เกี่ยวข้องในระบบหลายสิบบัญชี และมีบัญชีลูกหนี้นับหมื่นราย และมีการระมัดระวังในการกระทำความผิด โดยย้ายที่ตั้งสำนักงานบ่อยครั้งในช่วง 3 – 4 เดือนที่ผ่านมา เพื่อให้ยากแก่การติดตาม

นอกจากนี้จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินพบว่ามีการโอนย้ายเงินไปยังบัญชีต่างๆ อย่างสลับซับซ้อนเพื่อปกปิดอำพรางความผิด

จากการสืบสวนพบว่ามีการว่าจ้าง บริษัททวงหนี้แห่งหนึ่ง ย่านโชคชัย 4 ให้ดำเนินการทวงถามหนี้ให้ โดยได้รับรายชื่อลูกหนี้ให้ติดตามเดือนละประมาณ 5,000 ราย โดยทาง TRUE CASH PRO จะจ่ายค่าจ้างให้รายละ 580 บาท หากสามารถเก็บเงินกู้ได้ครบตามจำนวน

สำหรับในส่วนของบุคคลที่เกี่ยวข้องนั้นพบว่ามีชาวจีนเกี่ยวข้องหลายราย ทำหน้าที่ทั้งในส่วนที่เป็น ผู้บริหาร ผู้จัดการ และ เจ้าของบัญชี ตำรวจ ปอศ. จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานการกระทำความผิดของผู้เกี่ยวข้อง และได้ขออนุมัติหมายจับต่อ ศาลแขวงพระนครเหนือ จำนวน 7 ราย เป็นนิติบุคคล จำนวน 2 ราย โดยบุกเข้าจับกุมพร้อมอายัดบัญชีเงินฝากที่เกี่ยวข้องกับแอพพลิเคชั่น TRUE CASH PRO จำนวนทั้งสิ้น 31 บัญชี จาก 6 ธนาคาร รวมเงินที่อายัดจำนวนทั้งสิ้นกว่า 22,000,000 บาท

หนึ่งผู้เสียหาย กล่าวว่า ได้คลิกเข้าไปตามลิ้งค์ และทำการกู้ยืมเงินครั้งแรก 2,500 บาท แต่โดนหักค่าส่วนต่าง ได้จริง 2,000 บาท และได้ชำระหนี้ไป ต่อมาครั้งที่สอง ได้กู้ยืมเงินมากขึ้น แต่ไม่มีเงินชำระหนี้ก่อนถูกโทรศัพท์มาข่มขู่ และส่งข้อความไปหาบุคคลอื่นที่ไม่ใช่บุคคลอ้างอิง ซึ่งเป็นบุคคลที่เมมชื่อไว้ในมือถืออีก20-30คน เพื่อประจาน พร้อมยอมรับในการกู้เงิน ต้องกรอกข้อมูลสำคัญ ทั้งเลขบัตรประชาชนและเบอร์มือถือ และขอข้อมูลผู้ติดต่อ ตนจึงได้ไปแจ้งความลงบันทึกประจำวัน

ด้าน พลตำรวจโท ปิยะ กล่าวว่า จากการสืบสวนเชื่อว่ายังมีบริษัทอื่นที่กระทำผิดในลักษณะเดียวกันจึงเตรียมขยายผลเพื่อจับกุมดำเนินคดีถอดรากถอดโคนขบวนการดังกล่าวให้สิ้นซาก

ข่าว-ภาพจาก Policenews