posttoday

สธ.ประเมินความรุนแรงไวรัสอู่ฮั่นไม่ได้ คนไทยต้องดูแลความเสี่ยงของตัวเอง

01 กุมภาพันธ์ 2563

สธ.แถลงไวรัสโคโรนาล่าสุด เดือนเดียวยอดผู้ป่วยจะแซงไวรัสซาร์ส ขณะนี้ประเมินความรุนแรงการแพร่ระบาดไม่ได้ คนไทยต้องดูแลความเสี่ยงของตัวเอง ย้ำแม้มีมาตรการคัดกรองเข้มแต่หากปล่อยให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาก็ยิ่งเสี่ยงมาก

เมื่อวันที่ 1ก.พ.2563 นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) แถลงข่าวสถานการณ์ไวรัสโคโรนาในประเทศไทย ภายหลังพบแท็กซี่คนไทยติดเชื้อ 1 ราย ว่า ผ่านมาแค่เดือนเดียวตัวเลขผู้ป่วยจะแซงหน้าซาร์สแล้ว แต่ความรุนแรงเรายังไม่รู้ ส่วนตัวเลขอัตราการเสียชีวิตก็ยังไม่ทราบแน่ชัด ซึ่งเป็นตัวเลขที่จำเป็นและต้องการทราบมาก

ทั้งนี้ความเสี่ยงการติดเชื้อ ขึ้นอยู่กับโอกาสที่เราจะสัมผัสเชื้อว่ามีมากแค่ไหน อันดับแรก เมื่อเราเดินออกจากบ้านโอกาสจะเจอผู้ป่วยมีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งทุกวันนี้ในประเทศไทยที่มีผู้ป่วยยังน้อย จะเป็นผู้ป่วยชาวจีน หากเราไม่สัมผัสผู้ป่วยโอกาสติดเชื้อต้องบอกว่าเป็นศูนย์ เพราะโอกาสติดเชื้อต้องมาจากผู้ป่วย การสัมผัสมี 2 แบบ คือ การหายใจเอาละอองเชื้อเข้าไป โดยเชื้อนี้เป็นไวรัส วิธีการแพร่โรคก็มาจากการพูด การไอ ที่กระเด็นออกมา อีกคนหายใจเข้าไป วิธีแบบที่ 2 คนไข้อาจไอแล้วเอามือปิดปาก และเอามือไปเช็ดพื้นผิวต่างๆ คนที่สองบังเอิญไปโดนพื้นผิวเหล่านี้ และนำมาลูกหน้า ขยี้ตา จมูก ดังนั้น การลดความเสี่ยง คือ การลดโอกาสที่เชื้อจะเข้าสู่ทางเดินหายใจ และการสัมผัสเอามือมาขยี้ตา ปาก เป็นต้น

เมื่อมีการสื่อสาร อยากให้นำเสนอว่า วันนี้คนไทยมีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน และเราจะลดความเสี่ยงส่วนตัวของเราได้อย่างไร อย่างไรก็ตาม หากใครทำงานใกล้ชิดกับคนจีน ก็จะมีความเสี่ยงสูงกว่า คนที่อยู่แต่ในบ้าน ดังนั้น แต่ละคนต้องดูแลตามระดับความเสี่ยงที่ตัวเองมี

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขผู้ป่วยยังเท่าเดิม 19 คน กลับบ้านแล้ว 7 คน และนอนรักษารพ. 12 คน ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค 344 คนรวมคนจีน และคนไทยที่มีประวัติสัมผัสคนจีน โดยกลับบ้านแล้ว 70 คน เนื่องจากผลเชื้อเป็นลบ เป็นการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ อย่างไรก็ตาม ระยะหลังผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคจะเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเราขยายวงกว้างมากออกไป เดิมเราคัดกรองจากอู่ฮั่น แต่ตอนนี้ทุกเมือง และระยะหลังเราเพิ่มคนไทยที่สัมผัสใกล้ชิด โดยพิจารณาจากผู้สัมผัสใกล้ชิด ที่มีการพูดจา หันหน้าหากันในระยะเวลาหนึ่ง หรือการอยู่ในสถานที่ปิด เช่น ในรถ หรือในสถานที่ที่ปิดนานพอสมควร เป็นต้น

สำหรับคนไทยที่ต้องระมัดระวัง อย่างคนขับรถสาธารณะ คนขับแท็กซี่ ต้องสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ ล้างรถ ยิ่งหากต้องขับรถส่งผู้โดยสารชาวจีนก็ต้องระมัดระวังตัวเอง ส่วนคนไทยอื่นๆ โอกาสสัมผัสผู้ป่วยน้อยมาก บางพื้นที่ที่ไม่มีคนจีนท่องเที่ยวก็ดำเนินชีวิตได้ปกติ แต่หากใครเริ่มรู้สึกป่วย มีไข้ ไอ เจ็บคอ ก็ให้โทรสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 และแจ้งแพทย์ไว้ก่อนเลยว่า เรามาพบแพทย์ด้วยเรื่องอะไร จะได้ป้องกันได้ทันที

“ปัจจุบันมาตรการที่เรามีถือว่าเข้มงวดมากแล้ว แต่ตราบใดยังมีนักท่องเที่ยวเข้ามา ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ หากเมื่อใดที่ไม่ได้รับความร่วมมือกับนักท่องเที่ยวที่ดีพอก็เชื่อว่าผู้บริหารประเทศอาจต้องมีการปรับมาตรการในการควบคุมขึ้น” นพ.ธนรักษ์ กล่าว

เมื่อถามต่อว่าแท็กซี่ที่ติดเชื้อ มีการแจ้งผลช้าหรือไม่ นพ.ธนรักษ์ กล่าวว่า โรคไวรัสโคโรนา เป็นโรคใหม่ ก่อนหน้านี้เราเคยเจอคนไทยมีผลเป็นบวก แต่ยืนยันซ้ำมีผลเป็นลบ พูดง่ายผลบวกปลอม เราจึงต้องตรวจซ้ำ เช่นเดียวกันกับแท็กซี่รายนี้เราต้องยืนยันก่อนว่า ใช่หรือไม่ เมื่อผลได้แล้ว และนำเข้าคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ เมื่อมีการพิจารณาออกมา เราก็แถลงทันที ขณะเดียวกันไม่ใช่ว่าแถลงแล้วค่อยดำเนินการป้องกัน เรามีการดำเนินการเรื่องอื่นๆไปก่อนหน้านั้นแล้ว

เมื่อถามว่ามีการดูแลกลุ่มผู้ป่วยเข้าเกณฑ์จำนวน 344 คน อย่างไร นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า หากสัมผัสใกล้ชิด และมีอาการเข้าได้กับการติดเชื้อก็จะอยู่ในห้องความดันลบในโรงพยาบาล และได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดทุกราย

ด้านนพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า กรมการแพทย์ได้จัดผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาดูแลตัวเอง และยังได้ปรับระบบการดูแลสำหรับผู้เข้าเกณฑ์ โดยใช้ทรัพยกรจากกรมการแพทย์ และสถาบันบำราศนราดูร พร้อมทั้งยังหารือร่วมกับโรงพยาบาลสังกัดกทม.วันที่ 3 ก.พ.นี้ ที่โรงแรมเอเชีย จะมีการประชุมปรับระบบการบริการทั้งหมด ทั้งภาครัฐและเอกชน