posttoday

ศาลสั่งขายทอดตลาดทรัพย์สินคดีบิตคอยน์คืนผู้เสียหายที่เหลือให้ตกเป็นของแผ่นดิน

17 มกราคม 2563

ศาลแพ่ง สั่งขายทอดตลาดทรัพย์สิน “ปริญญา จารวิจิต” กับพวก คดีบิตคอยน์ใช้คืนผู้เสียหาย ส่วนที่ดินกว่า 137 ล้านบาทไถ่ถอนคืนได้หากมีทรัพย์สินเหลือให้ตกเป็นของแผ่นดิน

ศาลแพ่ง สั่งขายทอดตลาดทรัพย์สิน “ปริญญา จารวิจิต” กับพวก คดีบิตคอยน์ใช้คืนผู้เสียหาย ส่วนที่ดินกว่า 137 ล้านบาทไถ่ถอนคืนได้หากมีทรัพย์สินเหลือให้ตกเป็นของแผ่นดิน

ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก วันที่ 17 ม.ค.63 เวลา 09.00 น. ศาลนัดฟังคำสั่ง คดีหมายเลขดำ ฟ.170/2561 ที่อัยการสำนักงานฝ่ายคดีพิเศษ 2 ยื่นคำร้อง ขอให้ใช้คืนทรัพย์หรือให้ทรัพย์ของนายปริญญา จารวิจิต อายุ 38 ปีเศษ พี่ชายของนายจิรัชพิสิษฐ์ จารวิจิต หรือ บูม นักแสดงซีรีย์วัยรุ่น ชาว จ.ชลบุรี ที่ได้ลงทุนธุรกิจสกุลเงินบิตคอยน์ กับ นายเออาร์นีย์ โอตาวา ซาริมา เศรษฐีชาวฟินแลนด์ ตกเป็นของแผ่นดินตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 49 วรรคหนึ่ง และวรรคหก และมาตรา 51

โดยมีนายปริญญา (จำเลยถูกฟ้องแล้วคดีอาญาร่วมฟอกเงิน) เป็นผู้คัดค้านที่ 1, นายสุวิช จารวิจิต บิดาของนายปริญญา เป็นผู้คัดค้านที่ 2 , นางรัศมิ์เกล้า หรือเลิศฉัตรกมล จารวิจิต มารดาของนายปริญญา ผู้คัดค้านที่ 3 , นายชาญณรงค์ ลักษณียนาวิน ผู้คัดค้านที่ 4 , น.ส.ชวันรัตน์ ฐิรโพธิศักดิ์ ผู้คัดค้านที่ 5 , นายรักบีระซิงห์ เศรษฐี ผู้คัดค้านที่ 6 , น.ส.อุราพร น้ำผึ้ง ผู้คัดค้านที่ 7, น.ส.สุพิชฌาย์ จารวิจิต ผู้คัดค้านที่ 8 (จำเลยถูกฟ้องแล้วคดีอาญาร่วมฟอกเงิน) , นายธนสิทธิ์ จารวิจิต พี่ชายคนรองตระกูลจารวิจิต ผู้คัดค้าน ที่ 9 , นายจิรัชพิสิษฐ์หรือบูม จารวิจิต ผู้คัดค้านที่ 10 (จำเลยถูกฟ้องแล้วคดีอาญาร่วมฟอกเงิน) , นายอนรรฆ ศรีนภาสวัสดิ์ ผู้คัดค้านที่ 11 , น.ส.อัจฉราพร ต่อวงษ์ ผู้คัดค้านที่ 12 , นางศิริสุข ฮุนตระกูล ผู้คัดค้านที่ 13 , พ.ต.ท.ชลภัท ภักดีไทย ผู้คัดค้านที่ 14

ขณะที่ "ศาล" พิจารณาแล้ว นางรัศมิ์เกล้าหรือเลิศฉัตรกมล (มารดาของนายปริญญา) ผู้คัดค้านที่ 3 ขอให้ยกคำร้องและเพิกถอนการอายัดทรัพย์สิน กับมีคำสั่งคืนให้กับ พ.ต.ท.ชลภัท ผู้คัดค้านที่ 14 นั้น

ศาลเห็นว่า แม้ข้อเท็จจริง จะปรากฏว่านายปริญญา ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดิน 2 แปลงซึ่งมีโฉนดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และนายปริญญา ผู้คัดค้านที่ 1 ได้ทำสัญญาจะขายทรัพย์สินดังกล่าวคืนให้แก่พ.ต.ท.ชลภัท ผู้คัดค้านที่ 14 ตามสำเนาสัญญาจะซื้อจะขาย แต่การที่ผู้คัดค้านที่ 14 ยื่นคำคัดค้านเข้ามาในคดีโดยขอให้ยกคำร้องของอัยการและเพิกถอนการอายัดทรัพย์สินกับให้คืนแก่ผู้คัดค้านที่ 14 โดยไม่ได้แสดงว่าตนเองพร้อมที่จะปฏิบัติตามหน้าที่ของผู้จะซื้อคือการชำระราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจำนวน 28 ล้านบาทที่กำหนดไว้ในสัญญาจะซื้อจะขาย ดังนั้นการยื่นคำคัดค้านของผู้คัดค้านที่ 14 นี้ จึงเป็นการกระทำที่ไม่สุจริต คำคัดค้านของผู้คัดค้านที่ 14 จึงฟังไม่ขึ้น

ดังนั้นศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินรายการที่ 1 - 30 ตามบัญชีทรัพย์สิน (ส่วนใหญ่เป็นเงินฝากในบัญชีธนาคารต่างๆ) พร้อมดอกผล ไปคืนหรือชดใช้คืนให้แก่ผู้เสียหายตามสัดส่วนความเสียหาย แทนการสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน และหากปรากฏว่ามีทรัพย์สินเหลือก็ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ต่อไปตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 49 วรรคหนึ่งและวรรคหก , มาตรา 51

สำหรับทรัพย์สินรายการที่ 31 , 32 , 37 ให้นำออกขายทอดตลาด แล้วนำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดไปคืนหรือชดใช้คืนให้แก่ผู้เสียหาย ตามสัดส่วนความเสียหายแทนการสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดินเช่นกันและหากปรากฏว่ามีทรัพย์สินเหลือก็ให้ตกเป็นของแผ่นดิน

สำหรับทรัพย์สินที่ดิน 2 แปลงย่านดินแดง รายการที่ 33,34 ให้นายชาญณรงค์ ผู้คัดค้านที่ 4 และน.ส.ชวันรัตน์ ผู้คัดค้านที่ 5 ไถ่ถอนการขายฝากได้ในราคา 59 ล้านบาท , ทรัพย์สินรายการที่ 35,36 ให้นางรัศมิ์เกล้า ผู้คัดค้านที่ 3 ไถ่ถอนการขายฝากได้ในราคา 27,340,000 บาท , ทรัพย์สินรายการที่ 38-43 ให้นายรักบีระซิงห์ ผู้คัดค้านที่ 6 ไถ่ถอนการขายฝากได้ ในราคา 8.5 ล้านบาท , ทรัพย์สินรายการที่ 44 ให้นางศิริสุข ผู้คัดค้านที่ 13 ไถ่ถอนการขายฝากได้ในราคา 43,130,000 บาท (มูลค่าทรัพย์สินส่วนนี้ 137,970,000 บาท) โดยให้ดำเนินการภายใน 30 วันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด หากพ้นกำหนดแล้วให้นำทรัพย์สินดังกล่าวออกขายทอดตลาดและนำเงินที่ได้จากการไถ่ถอนการขายฝากหรือการขายทอดตลาด ไปคืนหรือชดใช้คืนให้แก่ผู้เสียหายตามสัดส่วนความเสียหาย และถ้ามีทรัพย์สินเหลือจึงให้ตกเป็นของแผ่นดิน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ดีคำสั่งของศาลแพ่งวันนี้ ยังถือเป็นคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น ซึ่งตามกฎหมายคู่กรณียังสามารถใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ได้อีกภายใน 1 เดือนนับจากวันที่มีคำสั่ง

ทั้งนี้คดีอาญาฟอกเงินลงทุนสกุลเงินบิตคอยน์ ที่อัยการสำนักงานคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง “นายปริญญา จารวิจิต” อายุ 38 ปีเศษ , “นายจิรัชพิสิษฐ์” หรือบูม นักแสดงซีรี่ย์วัยรุ่นชื่อดัง อายุ 27 ปีเศษ , “น.ส.สุพิชฌาย์ จารวิจิต” อายุ 33 ปีเศษ เป็นจำเลยที่ 1-3 ต่อศาลอาญา คดีหมายเลขดำ ฟย.50/2561 ในความผิดฐานสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้กระทำผิดฐานฟอกเงิน , ร่วมกันฟอกเงิน จำนวน 797,408,454.33 บาท ซึ่งเป็นเงินที่ขายบิตคอยน์ ในระบบซื้อขายอินเตอร์เน็ต แล้วนำเข้าบัญชีธนาคารของจำเลยทั้งสามกับพวก ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา3,5,9,60 ที่ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 1 พ.ย.61 นั้น สามพี่น้องให้การปฏิเสธ ขณะที่ศาลมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความชั่วคราวก่อน (พักการพิจารณาคดีชั่วคราว) โดยศาลกำหนดนัดตรวจหลักฐานครั้งสุดท้ายเมื่อ พ.ค.2562 ที่ผ่านมา