posttoday

ไพบูลย์ร้องDSIตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของสมเด็จช่วง

15 กุมภาพันธ์ 2559

"ไพบูลย์" จี้ "ดีเอสไอ" ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของสมเด็จช่วง หลังมหาเถรฯให้ธัมมชโยไม่ปาราชิก ชี้อาจเข้าข่ายละเว้นปฏิบัติหน้าที่

"ไพบูลย์" จี้ "ดีเอสไอ" ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของสมเด็จช่วง หลังมหาเถรฯให้ธัมมชโยไม่ปาราชิก ชี้อาจเข้าข่ายละเว้นปฏิบัติหน้าที่

เมื่อวันที่ 15 ก.พ. เวลา 13.30 น. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) พร้อมนพ มโน เลาหวณิช อดีตพระลูกวัดพระธรรมกาย ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึงพ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ ขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชและประธานกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) โดยมี พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารคดีพิเศษ ในฐานะรองโฆษกดีเอสไอ เป็นผู้รับเรื่อง

นายไพบูลย์ กล่าวว่า จากกรณีเมื่อวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา ที่ประชุม มส. ซึ่งมีสมเด็จช่วงเป็นประธานการประชุม ได้มีมติรับรองเห็นชอบรายงานตามที่รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ว่า มส.ไม่สามารถดำเนินการตามพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช เนื่องจากคดีของพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย สิ้นสุดในคณะผู้พิจารณาชั้นต้นแล้ว จึงถือว่าพระธัมมชโยไม่ได้อาบัติปาราชิก โดยมส.ไม่มีอำนาจยกมาพิจารณาเอง ตนจึงเห็นว่ามติของมส.ดังกล่าว เป็นการปฏิเสธที่จะดำเนินการตามที่ดีเอสไอมีหนังสือแจ้งไปให้พิจารณาดำเนินการให้พระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิก ตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช

นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า สำหรับกรณีที่อ้างว่าการดำเนินการให้เป็นไปตามพระลิขิตได้สิ้นสุดไปแล้วนั้น ไม่ถูกต้อง เพราะเป็นกรณีที่นายมาณพ พลไพรินทร์ และนายสมพร เทพสิทธา เป็นโจทย์ยื่นฟ้องพระธัมมชโยว่าล่วงละเมิดพระธรรมวินัยด้วยการบิดเบือนหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา รวมถึงการยักยอกทรัพย์ ฉ้อโกงและหลอกลวงประชาชน ซึ่งในเรื่องนี้อยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ตามพ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.205 มาตรา 8 โดยหลังจากปี 2542 แล้ว ยังไม่ได้มีการดำเนินการตามกฎหมาย แต่เมื่อ มส. มีมติแล้วเบี่ยงเบนเรื่อง โดยอ้างว่าเป็นเรื่องเดียวกันนั้น จึงเห็นว่าน่าจะมีปัญหาการดำเนินการเรื่องความชอบด้วยกฎหมาย

"แต่เมื่อไปดูแล้วสมเด็จช่วงได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระธัมมชโยอย่างยิ่ง มีหลักฐานปรากฎในสื่อสาธารณะรับทราบกันโดยทั่วไปว่ามีผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกันหลายประการ ดังนั้น จึงเห็นว่า ที่สมเด็จช่วงเป็นกรรมการ มส. มาตั้งแต่อนหน้าปี 2542 แล้ว ได้ทราบเรื่องมาโดยตลอด และปัจจุบันสมเด็จช่วงก็เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชและยังเป็นประธานมส. ดังนั้นจึงมีความเชื่อและสงสัยมากว่าสมเด็จช่วงอาจเป็นผู้ให้การช่วยเหลือ เนื่องจากไม่อยากให้พระธัมมชโยต้องสละสมณเพศจากพระลิขิต จึงให้การช่วยเหลือบ่ายเบี่ยงไม่ให้ต้องดำเนินการ"นายไพบูลย์ กล่าว

นายไพบูลย์ กล่าวด้วยว่า ตนจึงติดว่าการกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ตามกฎหมายมาตรา 157 และความผิดฐานอื่นหรือไม่ และขอให้ดีเอสไอรับกรณีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ เนื่องจากเป็นความผิดที่อาจเกี่ยวพันกับกรณีสอบสวนพระธัมมชโยร่วมกันฟอกเงินหรือรับของโจรจากสหกรณ์ฯคลองจั่น

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องนี้ยังมีข้อกฎหมายที่คำพิพากษาศาลฎีกาบอกไว้ว่าคดีดังกล่าวเกี่ยวข้องกับพระภิกษุ พระปกครอง ก็คือ มส. จะไม่อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เนื่องจากไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐในนิยามของ ป.ป.ช. แต่อยู่ในอำนาจของดีเอสไอ จึงเดินทางมายื่นหนังสือในวันนี้

ด้าน พ.ต.ต.วรณัน กล่าวว่า หลังจากนี้ ตนจะนำเรื่องไปพิจารณาก่อนนำเรื่องเสนอให้กับอธิบดีดีเอสไอต่อไป ส่วนหนังสือที่ พศ. จะส่งผลการประชุมกรณีพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชฯที่พระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิกนั้น ล่าสุดทาง พศ. ยังไม่ได้ส่งหนังสือชี้แจงดังกล่าวมา ซึ่งทางดีเอสไอยังคงรอหนังสืออยู่ ทั้งนี้ กรณีดีเอสไอเตรียมแถลงข่าวผลสอบรถหรูโบราณ ขม 99 ของสมเด็จช่วง ในวันที่ 18 ก.พ.นี้ เบื้องต้นยังแถลงในวันดังกล่าวเช่นเดิม โดยยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงกำหนดการแต่อย่างใด ส่วนผลจะออกมาอย่างไรคงต้องรอดูในวันนั้น