ธปท.-คลัง-แบงก์พาณิชย์ อัดกลไกค้ำประกัน ดันสินเชื่อใหม่ 1 แสนล้าน ฟื้น SMEs
ธปท. กระทรวงการคลัง และธนาคารพาณิชย์ เดินหน้าโครงการ SMEs Credit Boost ใช้กลไกค้ำประกันจากเงิน FIDF หนุนปล่อยสินเชื่อใหม่ 100,000 ล้านบาท ใน 1-2 ปี หวังพยุงเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและเพิ่มศักยภาพธุรกิจไทย
KEY
POINTS
- กระทรวงการคลัง ธปท. และธนาคารพาณิชย์ ร่วมกันผลักดันโครงการ “SMEs Credit Boost” เพื่อใช้กลไกค้ำประกันสินเชื่อช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น
- โครงการตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อใหม่ให้แก่ SMEs ประมาณ 1 แสนล้านบาท โดยใช้เงินจากการลดเงินนำส่งเข้ากองทุนฟื้นฟูฯ (FIDF) ของธนาคารพาณิชย์มาเป็นกลไกค้ำประกัน
- มาตรการนี้มีขึ้นเพื่อแก้ปัญหาสินเชื่อ SMEs ที่หดตัวต่อเนื่องยาวนาน 13 ไตรมาส และสนับสนุนผู้ประกอบการซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ของไทย ที่มีกว่า 3.2 ล้านราย ครอบคลุมการจ้างงานถึง 70% ของประเทศ ถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่กลับเป็นกลุ่มที่มีข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งทุน ทำให้ภาคธุรกิจเข้าถึงสินเชื่อได้ยากขึ้น จาความไม่แน่นอนและภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทำให้ความต้องการสินเชื่อธุรกิจที่ลดลง และสถาบันการเงินระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ ส่งผลให้สินเชื่อเอสเอ็มอีติดลบต่อเนื่องถึง 13 ไตรมาส
ดังนั้น เพื่อสนับสนุนให้สินเชื่อธุรกิจกลับมาขยายตัวได้และช่วยประคับประคองเศรษฐกิจ จำเป็นต้องมีกลไกที่ช่วยแชร์ความเสี่ยงด้านเครดิตจากการปล่อยสินเชื่อแก่ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ที่มีศักยภาพ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม
ล่าสุด กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ จึงร่วมกันผลักดัน “โครงการกลไกการค้ำประกันสินเชื่อ: SMEs Credit Boost” เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อใหม่ได้มากขึ้น
นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ได้ขยายบทบาทจากการมุ่งเน้นเพียงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหาภาค มาสู่การเป็นผู้นำในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากความตั้งใจที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือภาคธุรกิจและประชาชนอย่างใกล้ชิดมากขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาที่ไม่สามารถจัดการได้ด้วยเครื่องมือทางการเงินแบบเดิม
“ปัญหาเชิงโครงสร้างไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากปัญหาเหล่านี้มีความซับซ้อนและเฉพาะตัว จึงจำเป็นต้องใช้มาตรการเฉพาะจุด เพื่อแก้ปัญหาให้ตรงจุดในแต่ละภาคส่วน” นายวิมัย กล่าว
โดย ธปท.เล็งเห็นวิกฤตของ SMEs ที่มียอดสินเชื่อติดลบต่อเนื่องยาวนานถึง 13 ไตรมาส ทั้งที่ SMEs เป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจไทย โดยมีการจ้างงานสูงถึง 70% ของแรงงานทั้งหมด และคิดเป็น 35% ของ GDP จึงร่วมมือกับกระทรวงการคลังและสมาคมธนาคารไทย ผลักดัน “โครงการกลไกการค้ำประกันสินเชื่อ : SMEs Credit Boost”
โครงการกลไกการค้ำประกันสินเชื่อ : SMEs Credit Boost เป็นโครงการที่ 2 ต่อเนื่องจากโครงการแก้ปัญหาหนี้เสีย (NPL) รายย่อยวงเงินต่ำกว่า 100,000 บาท จำนวน 1.6 ล้านราย ผ่านบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM) ที่เป็นมาตรการเฉพาะจุด เพื่อปัญหาเชิงโครงสร้าง
ทั้งนี้ แหล่งเงินทุนของโครงการจะมาจากการปรับลดเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ปี 2569 ของธนาคารพาณิชย์ประมาณ 20,000 ล้านบาท เพื่อนำมาจัดตั้งเป็นกลไกค้ำประกันสินเชื่อ ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้มีสินเชื่อปล่อยใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 100,000 ล้านบาท ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า
นายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลัง กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการ SMEs ในฐานะ เสาหลักที่ 3 ใน Quick Big Win ของนโยบายรัฐบาล โดยมุ่งช่วยให้ SME เข้าถึงแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องในอัตราที่เหมาะสม หลังสินเชื่อเอสเอ็มอีหดตัวต่อเนื่องยาวนานถึง 13 ไตรมาส ซึ่งหัวใจของนโยบายไม่ใช่เพียงการลดดอกเบี้ย แต่คือการทำให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึง สินเชื่อใหม่ได้จริง
คณะรัฐมนตรี (ครม.) จึงได้เห็นชอบ มาตรการทางการเงินวงเงินรวม 267,000 ล้านบาท ภายใต้นโยบาย “Quick Big Win” ในการประชุมเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 เพื่อเสริมสภาพคล่องและลดต้นทุนให้ภาคธุรกิจ ครอบคลุมตั้งแต่ Micro SME, SME ขนาดกลาง ไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่บางส่วน พร้อมมาตรการ ชดเชยความเสี่ยงด้านเครดิตสำหรับสินเชื่อปล่อยใหม่ เพื่อลดความเสี่ยงของสถาบันการเงินและเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งทุนของผู้ประกอบการ
“มาตรการนี้มุ่งเปิดทางให้ SME เข้าถึงสินเชื่อใหม่ได้จริง ไม่ใช่แค่ช่วยลดต้นทุนทางการเงิน แต่ต้องทำให้ระบบการเงินกล้าปล่อยกู้ และผู้ประกอบการมีโอกาสกลับมาเดินหน้าธุรกิจได้อีกครั้ง” นายเบญจรงค์ กล่าว
นอกจากนี้ รัฐบาลยังเร่งยกระดับ ห่วงโซ่การผลิต (Supply Chain) ผ่านโครงการ “พี่ช่วยน้อง” ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างบริษัทขนาดใหญ่กับ SME ทั้งการถ่ายทอดองค์ความรู้และการสนับสนุนสภาพคล่อง ควบคู่กับการปรับปรุง เครดิตเทอม ให้ผู้ประกอบการมีเงินหมุนเวียนเร็วขึ้น และใช้กลไก การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เป็นอีกช่องทางสำคัญในการสนับสนุนธุรกิจไทย
นายเบญจรงค์ กล่าวด้วยว่า ผู้ประกอบการยังต้องเผชิญความท้าทายจากการแข่งขันการค้าเสรี สถานการณ์ความไม่มั่นคงในพื้นที่ชายแดน และภัยพิบัติทางธรรมชาติ รัฐบาลจึงมุ่งสนับสนุน อุตสาหกรรมแห่งอนาคต ภายใต้แนวคิด Reinvent Thailand และอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือของหลายหน่วยงาน ทั้งกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) บสย. ธนาคารรัฐ ธนาคารพาณิชย์ไทยและต่างชาติ รวมถึงภาคเอกชน โดยรัฐบาลหวังให้เกิดการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อแก้ปัญหาได้ตรงจุดและสร้างระบบการเงินที่สนับสนุนเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน
นางสาววิภาวิน พรหมบุญ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวถึงรายละเอียดโครงการดังกล่าวว่า โครงการกลไกการค้ำประกันสินเชื่อ : SMEs Credit Boost ถูกออกแบบภายใต้แนวคิด ‘ตรงจุด มี impact กระจาย คล่องตัว’ ดังนี้
- ตรงจุด เน้นให้สินเชื่อใหม่แก่ SMEs ในภาคธุรกิจเป้าหมายครอบคลุม 2 ส่วน ได้แก่
(1) SMEs ในภาคธุรกิจภายใต้โครงการ Reinvent Thailand (เช่น การท่องเที่ยว การแพทย์และสุขภาพ เกษตรและเกษตรแปรรูป ยานยนต์และชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และการค้า รวมถึงธุรกิจที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ของอุตสาหกรรมข้างต้น) และโลจิสติกส์
(2) SMEs และธุรกิจรายใหญ่ ที่มีแผนว่าจะนำสินเชื่อที่ได้รับไปใช้ยกระดับศักยภาพธุรกิจหรือพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน (เช่น ด้านดิจิทัลเทคโนโลยี การดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และนวัตกรรมแห่งโลกอนาคต) หรือเสริมสร้างมูลค่าเพิ่ม (value added) ต่อเศรษฐกิจไทย
- มี impact ช่วยให้มีเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยไม่ช้า โดยกำหนดวงเงินชดเชยสูงสุด ในช่วง 15-30% (ขึ้นกับขนาดของผู้ประกอบการ) ของยอดสินเชื่อปล่อยใหม่แก่ผู้ประกอบการกลุ่มเป้าหมายในช่วง 2 ปีนับจากวันเริ่มโครงการ ระยะเวลาการค้ำประกันสูงสุด 7 ปีนับจากวันปล่อยสินเชื่อ ซึ่งคาดว่าจะช่วยสนับสนุนให้เกิดการปล่อยสินเชื่อใหม่ประมาณ 5 เท่าของวงเงินชดเชย
- กระจาย เน้นช่วย SMEs และกระจายความช่วยเหลือไปยังผู้ประกอบการได้หลายราย จึงกำหนดวงเงินสินเชื่อรวมทุกธนาคารพาณิชย์สูงสุดต่อรายไม่เกิน 100 ล้านบาทสำหรับ SMEs และไม่เกิน 150 ล้านบาทสำหรับธุรกิจรายใหญ่
- คล่องตัว ธนาคารพาณิชย์บริหารจัดการสินเชื่อได้คล่องตัวเพราะทราบโควตาวงเงินชดเชยที่ได้รับการจัดสรรอย่างชัดเจน ณ วันปล่อยสินเชื่อ อีกทั้งยังสามารถบริหารจัดการการขอรับเงินชดเชยภายในโควตาได้สะดวก จากกระบวนการขอรับเงินชดเชยที่ไม่ซับซ้อนและไม่ต้องรองบประมาณจากภาครัฐ
โครงการนี้จะช่วยเสริมการดำเนินงานของโครงการค้ำประกันสินเชื่อโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) โดยมีเป้าหมายเดียวกัน คือ การเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบธุรกิจเข้าถึงสินเชื่อ และสนับสนุนการยกระดับศักยภาพทางธุรกิจ อันจะส่งผลบวกไปยังการจ้างงาน การสร้างรายได้ และการลงทุน ซึ่งจะช่วยเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้ระบบเศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ทั้งนี้ จะเริ่มดำเนินการโครงการได้ตั้งแต่ 15 มกราคม 2569-15 มกราคม 2571
นายณัฐธรรม จูฑศรีพานิช ผู้อำนวยการ ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการ SMEs Credit Boost จะต้องเป็นคนไทยสำหรับผู้ประกอบการที่เป็นบุคคลธรรมดา หรือเป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งในประเทศไทย ผู้ถือหุ้นมากกว่า 50% เป็นคนไทย และไม่เป็น NPL รวมไปถึงส่วนทุนของนิติบุคคลที่ขอสินเชื่อจะต้องไม่ติดลบ นอกจากนี้ ต้องไม่เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)


