‘Sure Juice’ น้ำสับปะรดพรีเมียมส่งตรงจาก ‘ราชบุรี’ พลิกภาวะล้นตลาด สู่การเพิ่มมูลค่า 7,000%
'ราชบุรี' พลิกภาวะ ‘สับปะรด’ ล้นตลาดสู่การสร้างแบรนด์ 'Sure Juice' น้ำสับปะรดแท้ 100% เพิ่มมูลค่าจากเดิมได้ถึง 7,000%
KEY
POINTS
- สกต. ราชบุรี แก้ปัญหาสับปะรดล้นตลาดและราคาตกต่ำด้วยการแปรรูปเป็นน้ำสับปะรดพรีเมียมแบรนด์ ‘Sure Juice’
- การแปรรูปสามารถเพิ่มมูลค่าผลผลิตได้ถึง 7,000% โดยยกระดับราคารับซื้อจากเดิมกิโลกรัมละ 50 สตางค์ เป็น 30-35 บาทสำหรับเนื้อสับปะรด
- จุดเด่นของผลิตภัณฑ์คือการใช้สับปะรดพันธุ์ปัตตาเวียจากราชบุรี ซึ่งมีรสชาติ "หอม หวาน ไม่กัดลิ้น" และผลิตจากเนื้อล้วน 100% ไม่ใส่แกนและสารปรุงแต่ง
วิกฤตราคาสับปะรดตกต่ำในปี 2558 นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเกษตรกรในจังหวัดราชบุรี เมื่อสหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดราชบุรี (สกต. ราชบุรี) ตัดสินใจสู้กับปัญหาด้วยการลงทุนแปรรูป สร้างมาตรฐานใหม่ของน้ำสับปะรดภายใต้แบรนด์ ‘Sure Juice’ ที่มุ่งมั่นจะเป็นน้ำสับปะรดระดับพรีเมียม จนสามารถยกระดับราคาซื้อขายผลผลิตจาก 50 สตางค์ต่อกิโลกรัมให้พุ่งสูงถึง 30-35 บาทต่อกิโลกรัม (สำหรับเนื้อสับปะรดที่ปอกแล้ว) คิดเป็นมูลค่าเพิ่มถึง 7,000% ช่วยสร้างเศรษฐกิจที่มั่นคงให้กับชุมชนโดยรอบในคราวเดียว!
จุดเริ่มต้นเมื่อสับปะรดถูกทิ้งเกลื่อนหน้าศาลากลาง
ชลดา เอี่ยมเพชร หรือ ‘พี่ใจ’ ผู้จัดการ สกต.ราชบุรี ได้ย้อนถึงจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งแบรนด์ Sure Juice ว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงที่ราคาสับปะรดตกต่ำอย่างรุนแรง ผลผลิตล้นตลาด จนทำให้เกษตรกรได้รับผลตอบแทนต่ำมาก โดยราคารับซื้ออยู่ที่ประมาณ 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม
ตกต่ำถึงขั้นว่า “ทิ้งหน้าศาลากลางฯ” พี่ใจยังจำภาพนั้นได้อย่างแม่นยำ
เมื่อเห็นถึงความลำบากของเกษตรกร สกต. ราชบุรี จึงได้เข้ามาแก้ไขปัญหานี้ โดยเสนอเรื่องไปยังกรมส่งเสริมสหกรณ์เพื่อขอรับการสนับสนุนด้านอุปกรณ์และเครื่องมือสำหรับการแปรรูปน้ำสับปะรด โดยได้รับการสนับสนุนจากกรมส่งเสริมสหกรณ์ประมาณ 70% ของค่าใช้จ่ายด้านอุปกรณ์และเครื่องมือทั้งหมด ส่วนสหกรณ์ฯ รับผิดชอบค่าใช้จ่ายอื่นๆ ประมาณ 30%
โรงงานแปรรูปสับปะรดที่จะเกิดขึ้น จึงเป็นดั่งจุดเริ่มต้นของการร่วมมือกันระหว่าง สกต. และกรมส่งเสริมสหกรณ์
จุดเด่นของ Sure Juice น้ำสับปะรดปัตตาเวียเนื้อแท้ 100%
เพื่อให้ได้น้ำสับปะรดที่มีคุณภาพสูงที่สุด สหกรณ์ฯ ได้เลือกใช้สับปะรดสายพันธุ์ "ปัตตาเวีย" ซึ่งเป็นสายพันธุ์เด่นของจังหวัดราชบุรี
พี่ใจเล่าว่าสับปะรดปัตตาเวียที่ราชบุรีมีเอกลักษณ์พิเศษคือ “หอม หวาน ไม่กัดลิ้น”
คำว่า ‘กัดลิ้น’ หากใครเคยทานสับปะรด และรู้สึกถึงความไม่สบายคอหรือลิ้นนั้น เนื่องจากสับปะรดโดยทั่วไปจะมีเอนไซม์และกรดสูง อาจบาดคอหรือลิ้นได้ โดยสับปะรดปัตตาเวียจะมีคุณสมบัติเหล่านี้ต่ำกว่า และรู้จักในวงการว่า "สับปะรดปัตตาเวีย หวานฉ่ำ กัดลิ้นน้อย"
พี่ใจกล่าวถึงความพิถีพิถันของการควบคุมคุณภาพและรสชาติ เพื่อให้ได้น้ำสับปะรดที่มีจุดเด่นต่างจากในตลาดว่า ทางสกต.ราชบุรี ได้กำหนดเงื่อนไขในการเก็บเกี่ยวผลผลิตที่เข้มงวด อาทิ
ระบุให้สมาชิกเกษตรกรต้องเก็บสับปะรดที่มีอายุ 5 เดือนขึ้นไป
เนื่องจากสับปะรดที่มีอายุ 5 เดือนขึ้นไปจะมีค่าความหวานและความฉ่ำสูงขึ้น และได้น้ำหนักที่ดี การควบคุมอายุการเก็บเกี่ยวนี้แตกต่างจากการส่งโรงงานทั่วไป ซึ่งมักจะเก็บเกี่ยวที่ประมาณ 4 เดือน หรือไม่เกิน 5 เดือน เพราะหากสับปะรดสุกเกินไปจะ ‘ยุ่ย’ และ ‘น้ำจะเยิ้ม' ซึ่งไม่เหมาะสำหรับการทำผลไม้กระป๋อง แต่สำหรับการทำน้ำสับปะรดของ สกต. ราชบุรี ที่เน้นความหวานฉ่ำนั้น การเก็บที่ 5 เดือนขึ้นไปจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
เนื้อล้วน 100% ไร้แกนและสารเคมี
พี่ใจเล่าต่อด้วยความภูมิใจว่า ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดของน้ำสับปะรด ‘Sure Juice’ คือ เป็นน้ำผลไม้ 100% และเลือกใช้ ‘เนื้อล้วน’ ซึ่งต้องมีความพิถีพิถันคือ ต้องปอกเปลือก เอาตาออก และเอาแกนด้านในออก
“เอาแกนด้านในออกเพราะแกนด้านในมีส่วนผสมของไนเตรทสูงมากจะทำให้กระป๋องบุบและเป็นสนิมได้ ที่สำคัญคือการใช้เนื้อสับปะรดล้วนที่เอาสารที่ก่อให้เกิดแก๊สออกไปจนหมด ทำให้ผลิตภัณฑ์ของสหกรณ์ฯ สามารถคงรสชาติความหวานได้ดี และมีอายุการเก็บรักษาในอุณหภูมิห้องได้นานถึง 24 เดือน หรือ 2 ปี ซึ่งนานกว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไป”
ถ้าเทียบกับการผลิตของโรงงานขนาดใหญ่ พี่ใจเล่าว่ามักจะเป็นการ ‘บีบทั้งลูกรวมทั้งเปลือกและแกน’ ซึ่งทำให้มีความจำเป็นต้องแต่งเติมกลิ่น สี รสชาติ และเติมเคมีหรือกรดภายหลัง
“เราจึงตั้งใจว่าจะไม่ผสมสิ่งปรุงแต่งลงในน้ำสับปะรดของเราเลยค่ะ” พี่ใจย้ำถึงความมุ่งมั่นของกลุ่ม
ผลตอบแทนที่พลิกชีวิตราคาสับปะรดพุ่ง 7,000%
การแปรรูปได้สร้างความมั่นคงด้านราคาให้กับเกษตรกรอย่างเห็นได้ชัด
จากเดิมที่ต้องทนรับราคา 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม สกต. ราชบุรี สามารถรับซื้อเนื้อสับปะรดที่ปอกเรียบร้อยแล้วในราคา 30 - 35 บาท ต่อกิโลกรัม ซึ่งคิดเป็นมูลค่าเพิ่มถึง 7,000% และราคานี้สูงกว่าราคาตลาดปกติประมาณ 2 เท่า!
มากไปกว่านั้น (พี่ใจเล่าด้วยน้ำเสียงภูมิใจ) ว่าทางสหกรณ์ฯ ยังรับซื้อผลผลิตสับปะรดของชาวบ้านในแบบ "รวม ลูกเล็ก ลูกใหญ่ ลูกกลาง ในราคาเดียว”
โดยใช้วิธีวัดจากการชั่งน้ำหนักแทน ซึ่งแตกต่างจากโรงงานเอกชนที่อาจซื้อลูกเล็กในราคา 2 บาท แต่ลูกใหญ่ 10 บาท เป็นต้น
นอกเหนือจากการเพิ่มราคาผลผลิตแล้ว การผลิตยังสร้างรายได้เสริมให้กับชุมชนไปอีกทางหนึ่ง
“ ประโยชน์ได้ทั้งฝั่งของเกษตรกรและชุมชนใกล้เคียงด้วยค่ะ เพราะมีการจ้างกลุ่มผู้สูงอายุ หรือเด็กที่สามารถปอกสับปะรดที่บ้านได้ เพื่อรับค่าจ้างในการปอกผลไม้และส่งเนื้อมาให้โรงงาน .. มันช่วยเศรษฐกิจในภาพรวมด้วย” พี่ใจเล่าด้วยความภาคภูมิใจ
ความท้าทายในการทำแบรนด์ และการฝ่าวิกฤตโควิด
การทำธุรกิจ โดยเฉพาะเมื่อ ‘เกษตรกร’ อยากจะพัฒนาตนเองเป็น ‘ผู้ประกอบธุรกิจ’ ไม่ใช่เรื่องง่าย เช่นเดียวกับการสร้างแบรนด์ ‘Sure Juice’
พี่ใจเล่าให้ฟังว่า สิ่งที่คิดไว้ไม่ได้เป็นไปตามแผนตั้งแต่แรก!
แต่เดิมสกต.ราชบุรี คิดแต่เพียงว่าอยากจะเป็นแค่ผู้ผลิตน้ำหัวเชื้อล้วนส่งให้โรงงานขนาดใหญ่เท่านั้น ไม่เคยคิดจะทำแบรนด์เอง แต่เนื่องจากเจอวิกฤตโควิด-19 ซึ่งทำให้ข้อตกลงกับโรงงานผลิตน้ำสับปะรดแห่งหนึ่งต้องถูกยกเลิกไป ด้วยเหตุนี้ สหกรณ์ฯ จึงตัดสินใจสร้างแบรนด์ของตัวเองขึ้นมา
“ การตัดสินใจตั้งแบรนด์ขึ้นมาเองนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย มีการตั้งคำถามและความกังวลจากคณะกรรมการว่า ‘ตลาดอยู่ไหน’ แต่เรามั่นใจว่ามีช่องทางการจำหน่ายแน่ เพราะเรามีเครือข่ายสหกรณ์ทั่วประเทศ และคิดว่าสินค้าของเราเป็นสินค้าคุณภาพที่ตอบโจทย์ความต้องการได้”
นอกจากช่องทางเครือข่ายสหกรณ์ทั่วประเทศแล้ว ปัจจุบัน Sure Juice ยังมีการจำหน่ายผ่านตลาดของ ธ.ก.ส. (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) ซึ่งช่วยนำสินค้าชุมชนขึ้นวางจำหน่ายในแต่ละสาขาของธนาคารภายใต้ชื่อโครงการ BRANCE OUTLET อีกทั้งมองหาตลาดส่งออก ปัจจุบันได้ทำสัญญากับ บิ๊กซี ที่ สปป.ลาว ไว้ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการแปลภาษาลาวและออกแบบบนแพ็คเกจผลิตภัณฑ์
แม้จะเผชิญกับอุปสรรคมากมาย ทั้งปัญหาการลองผิดลองถูกในกระบวนการผลิต การควบคุมเชื้อ การหาจุดที่ลงตัวของความหวาน แต่สกต.ราชบุรียังคงยึดมั่นในอุดมการณ์ของตัวเองอย่างหนักแน่น
พี่ใจย้ำถึงความแตกต่างที่ภูมิใจ และยืนยันว่าจะคงคุณภาพนี้ไว้ว่า
“ หากเปรียบเทียบกับน้ำสับปะรดทั่วไปที่ดื่มแล้วอาจ ‘บาดคอ’
ของเราคือดื่มแล้ว ‘ลื่นคอ’ ดื่มแล้วหมดกระป๋องไม่รู้ตัว “


