ไปรษณีย์ไทย ดิ้นสู่ "เทคคอมพานี" รับ สู้เกมผูกขาดขนส่ง “ไม่ไหว”
ไปรษณีย์ไทย ฮึดสู้แพลตฟอร์มต่างชาติ ผูกขาดขนส่ง ดันแชร์ขึ้นสุดไม่ถึง 5% แม้รายได้ขนส่ง 9 เดือนขยายตัวถึง 8.42% - อ่วมภาษีทรัมป์กระทบ 200 ล้าน วาดแผนสู่บริการดิจิทัล ไม่หยุดแค่ขนส่ง
KEY
POINTS
- ไปรษณีย์ไทยรับ "สู้ไม่ไหว" เกมผูกขาดขนส่งอีคอมเมิร์ซ
- ประกาศทรานส์ฟอร์มสู่ "เทคคอมพานี"- สร้างรายได้ใหม่จากบริการดิจิทัล-AI
- เตรียมเปิดตัวซูเปอร์แอป ไตรมาสแรกปี 69 มุ่งลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีเพื่อความอยู่รอด
การเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซ เริ่มไม่ใช่โอกาสของบริษัทขนส่งไทยอีกต่อไป โดยเฉพาะ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เพราะแพลตฟอร์มต่างชาติมักมีลูกเล่นทางการตลาดเหมือนไม่ผูกขาดแต่ผูกขาดกับบริษัทขนส่งเฉพาะรายที่ตนเองเลือกไว้ ซึ่งปัญหานี้ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น และยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ที่สำคัญแนวโน้มคนไทยก็ยิ่งเข้าสู่แพลตฟอร์มต่างชาติเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งจากการเข้าด้วยตนเอง และจากการสนับสนุนของภาครัฐที่สอนให้ใช้งานผ่านหลักสูตรที่เรียกว่า "ทักษะดิจิทัล"
แม้ว่า ผลประกอบการ 9 เดือน ล่าสุดของ ไปรษณีย์ไทย พบว่า บริการขนส่ง และโลจิสติกส์ ซึ่งคิดเป็น 47.39% จากรายได้รวมนั้น มีการขยายตัวถึง 8.42 % แต่เมื่อเทียบกับสนามแข่งขนส่งสินค้าในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่างชาติแล้ว ไปรษณีย์ไทย ยังมีส่วนแบ่งในตลาดนี้ไม่ถึง 5%
สู้แล้วแต่ไม่ไหว แพลตฟอร์มต่างชาติ กลืนประเทศ
ถามว่าแล้ว ไปรษณีย์ไทย จะปล่อยให้แพลตฟอร์มต่างชาติ ทำธุรกิจในประเทศไทย แบบนี้ต่อไปอีกนานแค่ไหน โดยไร้การเหลียวแลจากรัฐบาลแบบนี้หรือ ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เปิดใจกับ โพสต์ทูเดย์ ว่า ในเมื่อแพลตฟอร์มเป็นคนกำหนดมาตรฐานผู้ให้บริการขนส่งเอง และเลือกเฉพาะขนส่งที่เขาเป็นพันธมิตรด้วย แม้จะบอกว่าเสรีแล้วแต่แม่ค้า พ่อค้าออนไลน์เลือก ก็ตาม แต่เมื่อปัจจัยหลักของการเลือกคือ “ราคา” ไปรษณีย์ไทย “ไม่มีเงินทุ่มตลาด” และไม่มีสายป่านที่ยาวขนาดนั้น จึงได้แต่รอความหวังจากรัฐที่มีอำนาจในการกำกับดูแลให้แพลตฟอร์มอยู่ในกติกาที่ไม่กีดกันแบบจริงๆ “เราพยายามแล้ว แต่ก็สู้ไม่ได้ เราโตขึ้นนะ แต่มีส่วนแบ่งตลาดในแพลตฟอร์มนั้นไม่ถึง 5%”
ความท้าทายในการทำขนส่งในสนามอีคอมเมิร์ซ คือ ลูกค้าทั่วไป “ไม่โต” เพราะเขาส่งเฉพาะที่จำเป็น ตลาดที่โตคืออีคอมเมิร์ซ พ่อค้า แม่ค้า ออนไลน์ ย้ายไปขายที่ช่องทางไหน ก็ต้องไล่ตามให้ทัน ยอมรับว่า พฤติกรรมของพ่อค้า แม่ค้า ออนไลน์ เขาก็เปลี่ยนไปตามช่องทางขายของแพลตฟอร์ม “อะไรดี เขาก็ไป”
เมื่อก่อนลูกค้าของไปรษณีย์ไทยขายของออนไลน์ในเฟซบุ๊ก 100% แต่ปัจจุบันก็ต้องแบ่งไปขายใน TikTok 20% ตรงนี้กระทบกับไปรษณีย์โดยตรง และคาดการณ์ว่าอนาคตรูปแบบการขายสินค้าออนไลน์จะเปลี่ยนไปอีก เพราะตอนนี้เริ่มเห็นคนซื้อของใน Chat GPT กันแล้ว หาก ไปรษณีย์ไทย เข้าไม่ถึง นั่นคือ ลูกค้าหาย อีกตัวอย่างที่เริ่มเห็นในต่างประเทศคือ กูเกิล โฮม เริ่มให้ลูกค้าสั่งซื้อของผ่านโดยตรงผ่าน AI ซึ่งตรงนี้ ไม่มีทางรู้ที่มาที่ไปเลยว่าซื้อมาจากไหนและระบบขนส่งจะเป็นรูปแบบไหน
ดนันท์ สุภัทรพันธุ์
ดนันท์ เปิดเผยอีกว่า นอกจากนี้แพลตฟอร์มต่างชาติ ยังแข่งขันกันเรื่องส่งไว ภายในวันเดียว หรือ ครึ่งวัน นั่นคือการ ทุ่มเงิน เพราะเขาใช้วิธีจ้างไรเดอร์ให้ไปส่ง เป็นสิ่งที่ไปรษณีย์ทำไม่ได้ เพราะมันไม่คุ้มค่า แม้ว่าไปรษณีย์ไทยจะสามารถส่งได้ภายในวันเดียว แต่ก็ต้องเลือกพื้นที่ที่มีโอกาสในการทำได้ ไม่ใช่การทุ่มเงิน เพื่อการแข่งขันเพียงอย่างเดียว
“ถ้าเรายังยึดติดกับขนส่ง ชีวิตเราคงลำบากไปตลอดชีวิต เราต้องมองตัวเองเป็นเน็ตเวิร์ก ต้องอยู่ทุกที่ที่มีดิจิทัล เช่น เคยส่งหนังสือราชการทางไปรษณีย์ ก็เปลี่ยนมาทำระบบกระดาษเป็นดิจิทัล ส่งทางอีเมล์ เราต้องเป็น อินฟอร์เมชั่น โลจิสติกส์ ให้ได้”
เพราะไม่เพียงแต่สภาพการแข่งขันที่ถูกคุกคามจากแพลตฟอร์มต่างชาติที่ล็อคเฉพาะขนส่งที่ตนเองเลือกแล้ว สภาพเศรษฐกิจ กำลังซื้อ GDP รวมถึงต้นทุนที่ควบคุมไม่ได้ จากการประกาศปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำทั้งระบบ และ ผลกระทบจากการขึ้นภาษีทรัมป์ ยิ่งเป็นปัจจัยที่ซ้ำเติมรายได้ของไปรษณีย์ไทยอย่างมีนัยสำคัญ
ดนันท์ ยอมรับว่า ภาษีทรัมป์ ส่งผลกระทบกับยอดขายของไปรษณีย์ไทยกว่า 200 ล้านบาท ทำให้รายได้ระหว่างประเทศตกลง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยคาดการณ์มาก่อน ขณะที่เมื่อเทียบกับโลจิสติกส์อื่นอย่าง เฟดเอกซ์ หรือ ดีเอชแอล กระทบน้อยกว่า เพราะมีบริษัทอยู่ในสหรัฐและมีเครือข่ายอยู่ทั่วโลก
แม้ว่าตอนนี้ รายได้ 9 เดือนปี 2568 (ม.ค. - ก.ย.) ของไปรษณีย์ไทย มีรายได้รวม 16,860.73 ล้านบาท เติบโต 7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แต่ไม่มีอะไรการันตีได้ว่ารายได้จะโตขึ้นอีกหรือไม่ท่ามกลางปัจจัยรุมเร้าต่างๆที่ ดนันท์ ได้ฉายภาพมาทั้งหมด
ดังนั้น สิ่งที่ไปรษณีย์ไทย ต้องเดินต่อเพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นภาระของรัฐบาล และ “ไม่ขาดทุน” คือ การเป็นบริษัทที่ขายสินค้าดิจิทัลได้ด้วย ไม่จำกัดตัวเองแค่ บริษัทขนส่งสิ่งของ “เราอยากได้เงิน 24 ชั่วโมง ต่อไปเราจะขายสินค้าที่เป็นเทคโนโลยีด้วย เราจะลงทุนกับธุรกิจที่มีทิศทางดี โดยการเข้าไปถือหุ้น และต้องเป็นบริษัทที่ไม่ได้เริ่มจากศูนย์ ซึ่งตอนนี้ยังบอกรายละเอียดไม่ได้” ดนันท์ กล่าว
ย้อนไปเมื่อ 1 ปีก่อน ไปรษณีย์ไทย จึงเริ่มเดินตามแผนที่วางไว้ ด้วยการนำทัพของ ตฤณ ทวิธารานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจบริการดิจิทัล ไปรษณีย์ไทย เพื่อมาขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เป้าหมาย โดยก่อนหน้านั้น ตฤณ มีประสบการณ์ทำงานด้านศูนย์คาดการณ์อนาคต Foresight Center สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ETDA มาก่อน
ตฤณ อัพเดทหลังจากรับตำแหน่งและขับเคลื่อนองค์กรสู่อนาคตว่า ตอนนี้สายงานดิจิทัลแยกออกมาจากสายงานไอที โดยสายงานดิจิทัลมีพนักงานอยู่กว่า 300 คน และ มีคนรุ่นใหม่ที่ดูเรื่อง AI โดยเฉพาะ รวมถึงหลักสูตรของโรงเรียนไปรษณีย์ ก็ไม่ได้มีองค์ความรู้แค่เรื่องบริการส่งของเพียงอย่างเดียวแล้ว แต่มีการเติมหลักสูตรดิจิทัล และ AI เข้าไปด้วย
ยอมรับว่า เมื่อก่อนที่ยังไม่มีโครงสร้างชัดเจน คือ สายงานดิจิทัล สายงานกำกับดูแล และสายงานไอที ระบบบริหารจัดการแพลตฟอร์มของไปรษณีย์มีปัญหาข้อมูลโหลดจำนวนมาก แต่นับจากนี้ ไม่มีแล้ว เพราะมีความเข้าใจในระยะเวลาเก็บข้อมูล และการบริหารจัดการที่ถูกต้อง ทำให้ระบบไม่โหลดเหมือนแต่ก่อน
สิ่งที่จะเป็นรูปธรรมของสายงานดิจิทัลที่กำลังจะเปิดตัวในไตรมาสแรกของปี 2569 คือ การรวมทุกแอปพลิเคชันที่อยู่แยกกัน ไม่ว่าจะเป็น การเช็คสถานะ บริการ Prompt POST ระบบจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์แบบครบวงจร หรือ บริการระบุตัวตนแบบดิจิทัล หรือ DID จะถูกรวมอยู่ใน “ซุปเปอร์แอป” เดียวกัน ทุกความสามารถจะรวมอยู่ในแอปเดียว ที่รวมแอปพลิเคชันไลน์ที่แยกอยู่มารวมในนี้ด้วย
นอกจากนี้ ไปรษณีย์ไทย ยังมีบริการด้าน AI ออกมาให้บริการด้วยทั้งลูกค้าและพนักงานที่ได้ประโยชน์จากการใช้งานทั้งการถามเลขพัสดุ ติดตามสถานะกับ AI แชทบอท ขณะที่พนักงานเองก็สามารถตอบปัญหาลูกค้าได้รวดเร็วจากการนำข้อมูล ความรู้ ต่างๆ มาใส่ไว้ใน แชทบอท เพื่อให้พนักงานหาคำตอบได้สะดวกและรวดเร็วในการให้บริการ เป็นต้น
ขณะเดียวกัน ก็มีการศึกษาและทดลองการนำ AI มาใช้ทั้งการวางแผนเส้นทางนำจ่ายที่เหมาะสม เพื่อช่วยลดข้อผิดพลาด ลดเวลาในการทำงาน และประหยัดพลังงานที่ใช้ในการนำจ่าย การบริหารจัดการคลังสินค้าที่จะมีการใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลความต้องการของลูกค้า เพื่อจัดการสต็อกสินค้าในคลังได้อย่างแม่นยำ
ดนันท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากกลุ่มบริการขนส่งที่เป็นรายได้หลักแล้ว การให้บริการในด้านอื่น ๆ เพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์ผู้คน รวมถึงการอำนวยความสะดวกการดำเนินธุรกิจก็มีการเติบโต อย่างมีนัยสำคัญด้วยเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น Travel Lite ที่เป็นบริการขนส่งสัมภาระ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางท่องเที่ยวซึ่งทำรายได้เติบโตจากปี 2567 มากถึง 551% สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจในด้านศักยภาพขนส่งและเครือข่าย รวมถึงเป็นกลไกที่สะท้อนว่าบริการนี้จะช่วยส่งเสริมมิติด้านการท่องเที่ยวให้มีความสะดวกสบายยิ่งขึ้น
ขณะที่บริการค้าปลีกและการเงิน ทำรายได้เติบโตขึ้นจากเดิม 14.33% ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของฐานลูกค้าในพื้นที่ต่าง ๆ และความสามารถของไปรษณีย์ไทยในการผสานบริการออฟไลน์–ออนไลน์ให้สะดวกขึ้นจนกลายเป็นช่องทางซื้อขายที่ผู้บริโภคเชื่อถือได้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
มีการขยายแพลตฟอร์มชำระเงินและบริการตัวแทนทางการเงินให้ครอบคลุมและทันสมัยมากขึ้น ทั้งระบบ e-Payment การชำระ COD ผ่านปลายทาง ไปจนถึงการพัฒนาการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มชำระเงินระดับสากล ทำให้ไปรษณีย์ไทยทำหน้าที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ ไปรษณีย์ไทยยังมุ่งเป็นกลไกสำคัญในบริการขนส่งระหว่างประเทศ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งบริการเชิงกลยุทธ์ของไปรษณีย์ไทย โดยตั้งแต่ปี 2567–2568 ปริมาณงานในภาพรวมยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการไทยที่สามารถใช้เครือข่ายไปรษณีย์ไทยในการขยายตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะบริการ EMS ที่ทำรายได้สูงสุดคิดเป็น 33.99% ของรายได้บริการส่งต่างประเทศทั้งหมด ทั้งนี้ เพื่อช่วยยกระดับระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศท่ามกลางภาวะการส่งออกที่ยังคงผันผวน
ช่วย SME เข้าถึงตลาดโลกด้วยต้นทุนแข่งขันได้
ในปี 2569 ไปรษณีย์ไทยจึงยังคงมุ่งเสริมมาตรฐานบริการข้ามแดนให้เทียบเท่าสากล ขยายความร่วมมือโลจิสติกส์กับปลายทางสำคัญทั่วโลก เพื่อให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SME และผู้ค้าออนไลน์ สามารถเข้าถึงตลาดใหม่ได้ง่ายขึ้นและมีต้นทุนที่แข่งขันได้จริง ให้บริการขนส่งสินค้าเข้าคลัง Amazon FBA (Fulfillment by Amazon) สำหรับผู้ขายสินค้าบนเว็บไซต์ Amazon.com
ไปรษณีย์ไทยจะทำหน้าที่เป็นผู้รับรวบรวมสินค้าจากผู้ขายสินค้าของ Amazon พร้อมขนส่งสินค้าจากประเทศไทย ดำเนินพิธีการศุลกากรและนำส่งสินค้าเข้าคลัง Amazon FBA ของสหรัฐอเมริกา เพื่อกระจายสินค้าไปสู่ตลาด ตลอดจนใช้เครือข่ายที่ครอบคลุมกว่า 205 ปลายทางในการส่งออกสินค้าเกษตร ผลิตภัณฑ์ SME และสินค้านวัตกรรม ให้บริการแบบ End-to-End ตั้งแต่ให้คำปรึกษาการส่งออก จัดทำเอกสารศุลกากร การจัดเก็บและแพ็กกิ้งตามมาตรฐานสากล ไปจนถึงการเลือกบริการขนส่งที่เหมาะสม เช่น EMS World, ePacket พร้อมบริการหลังการขายเพื่อสร้างความมั่นใจตลอดเส้นทาง


