ธปท.จ่อตั้งกองค้ำประกันสินเชื่อเอสเอ็มอี รักษาแผลลึกเศรษฐกิจไทย
ธปท. เล็งตั้งกองทุนค้ำประกันสินเชื่อเอสเอ็มอี ใช้วงเงิน FIDF ลดความเสี่ยงด้านเครดิตให้ธนาคาร 10-30% ช่วยให้ธนาคารปล่อยกู้ได้ง่ายขึ้น คาดเริ่มดำเนินการภายในปี 2569
KEY
POINTS
- ธปท. เตรียมหารือกระทรวงการคลังและสมาคมธนาคารไทย จัดตั้งกองทุนค้ำประกันสินเชื่อเอสเอ็มอี เพื่อแก้ปัญหาสินเชื่อหดตัวต่อเนื่อง ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
- กองทุนดังกล่าวจะมีวงเงินรวม 1 แสนล้านบาท เพื่อเป็นกลไกช่วยลดความเสี่ยงด้านเครดิตให้กับสถาบันการเงิน ทำให้สามารถปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการได้ง่ายขึ้น
- โครงการมุ่งเป้าไปที่กลุ่มเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพในการปรับตัวและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจ เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
สินเชื่อเอสเอ็มอี หดตัวต่อเนื่อง 13 ไตรมาส เป็นผลจากการที่สถาบันการเงินระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อตาม credit cost ที่เพิ่มสูงขึ้น ล่าสุด รายงานภาพรวมผลประกอบการของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 3/2568 พบว่า สินเชื่อเอสเอ็มอี หดตัว 4.0%
จากสถานการณ์ดังกล่าว “วิทัย รัตนากร” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ ธปท.อยู่ระหว่างการหารือกระทรวงการคลังและสมาคมธนาคารไทย ในการเร่งผลักดันมาตรการสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อใหม่ให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อเอสเอ็มอี เพื่อยกระดับศักยภาพธุรกิจ และมองว่าหากสินเชื่อเอสเอ็มอียังคงหดตัวต่อไปจะเป็นปัญหาทำให้เศรษฐกิจไทยไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างมีศักยภาพ
สำหรับโครงการค้ำประกันสินเชื่อเอสเอ็มอี จะเป็นการจัดตั้งกองทุนขึ้นมาเพื่อเป็นกลไกในการค้ำประกันสินเชื่อให้เอสเอ็มอี เพื่อลดความเสี่ยงของ credit cost จากการที่สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อให้กับเอสเอ็มอี วงเงินรวม 1 แสนล้านบาท โดยเบื้องต้นจะใช้เม็ดเงินที่เหลือจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) รองรับการดำเนินการวงเงินปล่อยกู้ คาดว่าจะอยู่ที่ 50-100 ล้านบาทต่อราย
โดยกลไกนี้จะลดความเสี่ยงด้านเครดิตให้ธนาคาร 10-30% เช่น หากเป็นผู้ประกอบการที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันอยู่ที่ 10% และผู้ประกอบการที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันอยู่ที่ 30% ซึ่งกลไกนี้จะง่าย ไม่ซับซ้อน และช่วยให้สถาบันการเงินสามารถปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการได้ง่ายขึ้น
โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักที่สอดรับกับ Reinvent Thailand และอื่น ๆ เช่น กลุ่มค้าปลีกค้าส่ง กลุ่มที่มีศักยภาพในการปรับตัว กลุ่มที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว เช่น ปรับตัวด้านสิ่งแวดล้อม เน้นการใช้ local content เป็นต้น และอุตสาหกรรมที่มีขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น อาหารแปรรูปเกษตรแปรรูป และ Wellness เป็นต้น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างหารือในรายละเอียด คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปี 2568 และสามารถเริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2569
“ปัญหาเอสเอ็มอีเป็นแผลลึกของเศรษฐกิจไทย และไม่มีทางหายเอง หากไม่ออกมาตรการใหม่แบบเฉพาะจุด ธปท.จึงต้องวางจิ๊กซอว์แก้ปัญหาไปทีละด้าน ตั้งแต่การอุดช่องโหว่เงินเทา การกำกกับธุรกรรมเสี่ยง ไปจนถึงการปลดล็อกสินเชื่อเอสเอ็มอี เพื่อฟื้นโครงสร้างเศรษฐกิจไทยให้กลับมามีศักยภาพในระยะยาว”
ส่วนกรณีที่มีการเสนอให้ดำเนินมาตรการ QE สำหรับประเทศไทยนั้น มาตรการดังกล่าวอาจจะมีผลค่อนข้างจำกัด เนื่องจากจุดประสงค์หลักของมาตรการ QE คือการกดอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาวให้ลดลง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกลไกตลาดเงิน แต่ในบริบทของเศรษฐกิจไทย การจะเร่งให้ปริมาณเงินในระบบเพิ่มขึ้นและส่งผลต่อเศรษฐกิจได้จริง ก็ต่อเมื่อสถาบันการเงินมีการปล่อยสินเชื่อเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการเร่งผลักดันโครงการค้ำประกันสินเชื่อให้กับเอสเอ็มอีจึงเป็นแนวทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว


