วิกฤติโรงงานทอผ้าขาลง ‘อรนภัส’ ต่อยอดผ้าดิบทำพวงหรีดรักษ์โลก
เรื่องราวของ “อรนภัส บุญอนันตพัฒน์” ทายาทรุ่นสอง บุญเจริญการทอ ผู้มองเห็นโอกาสท่ามกลางความร่วงโรยของอุตสาหกรรม จึงต่อยอดด้วยการนำผ้าดิบทำพวงหรีดรักษ์โลก
KEY
POINTS
- เรื่องราวของ “อรนภัส บุญอนันตพัฒน์” ทายาทรุ่นสอง "บุญเจริญการทอ" มองเห็นโอกาสท่ามกลางความร่วงโรยของอุตสาหกรรม
- จึงต่อยอดด้วยการนำผ้าดิบจากโรงงาน มาทำพวงหรีดในชื่อแบรนด์ "นิรันดร์" ไว้อาลัยแบบไม่สร้างขยะ
- เปิดมา 2 ปี มีแฟรนไชส์แล้ว 25 สาขา วางเป้าหมายขยายไปยังหัวเมืองหลักทุกจังหวัดทั่วประเทศ
“โรงงานทอผ้า”
ครั้งหนึ่งเคยเป็นธุรกิจที่รุ่งเรืองของอุตสาหกรรมไทย แต่วันนี้กลับถูกจัดอยู่ในหมวด Sunset Industry ที่เริ่มเข้าสู่ภาวะถดถอยลงทุกวัน ทั้งจากการแข่งขันด้านราคา เศรษฐกิจชะลอตัว ค่าแรงที่สูงขึ้น และแรงกดดันจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างจีน เวียดนาม หรืออินเดีย ที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่า
แต่ในวันที่ธุรกิจของครอบครัวกำลังเผชิญความท้าทายเหล่านี้ อรนภัส บุญอนันตพัฒน์ ทายาทรุ่นที่สองของโรงงานทอผ้า “บุญเจริญการทอ” ย่านสุขสวัสดิ์ กลับเลือกจะอยู่ต่อ และไม่เพียงอยู่เพื่อรักษา แต่เพื่อสร้างสิ่งใหม่จากมรดกเดิมของครอบครัว
สิ่งใหม่ที่ว่าคือแนวคิดในการนำ “ผ้าดิบ” สินค้าที่โรงงานผลิตตามออเดอร์ให้ลูกค้าอยู่แล้ว มาปรับรูปแบบ จับจีบและจัดทรงอย่างประณีต จนกลายเป็น “พวงหรีดผ้าดิบ” ที่ไม่เพียงสวยงามแต่ยังใช้ประโยชน์ต่อได้ หลังเสร็จสิ้นงานสามารถมอบต่อให้วัด โรงพยาบาล หรือมูลนิธิต่าง ๆ นำไปใช้ห่อศพได้ทันที และนี่คือเรื่องราวของ “นิรันดร์ พวงหรีดรักษ์โลก” สัญลักษณ์แห่งการไว้อาลัยที่ไม่สร้างขยะเพิ่ม
อรนภัส เล่าบนเวที SME THAILAND FUTURE DAY 2026 จัดโดย SME Thailand ว่า ธุรกิจของครอบครัวเดิมคือ โรงงานทอผ้า ที่ผลิตผ้าดิบ พร้อมให้บริการ coating และ finishing ครบวงจร แต่ด้วยสภาพตลาดและการแข่งขันที่รุนแรงจากประเทศคู่แข่งอย่างจีน เวียดนาม และอินเดีย ซึ่งมีต้นทุนแรงงานต่ำกว่า ทำให้โรงงานในไทยเผชิญภาวะสงครามราคา (Price War) ที่แข่งขันได้ยาก จึงถึงเวลาต้องเปลี่ยนเพื่อความอยู่รอด
“แม้เราจะรู้ว่าต้องปรับตัว แต่ในช่วงแรกยังไม่แน่ชัดว่าจะต่อยอดไปทางไหน จนกระทั่งช่วง โควิด-19 ระบาด เราสังเกตเห็นว่า เจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องใช้ ผ้าพลาสติกหลายชั้นห่อร่างผู้เสียชีวิต เพราะยังไม่มั่นใจเรื่องการแพร่เชื้อ จึงเกิดแนวคิดว่า ผ้าดิบ ที่โรงงานผลิตอยู่แล้วอาจนำมาใช้ทดแทนได้ จึงเริ่มจากการ ผลิตและบริจาคเอง ก่อนจะพัฒนาเป็น เพจสะพานบุญ เพื่อให้ผู้คนร่วมบริจาคได้โดยไม่ต้องออกจากบ้าน”
จากผ้าห่อร่าง สู่พวงหรีดรักษ์โลก
อรนภัส เล่าต่อว่า ระหว่างการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่กู้ภัยในหลายจังหวัด เธอพบว่า ผู้คนมักบริจาค โลงศพ แต่ไม่ค่อยมีใครบริจาค ผ้าห่อทั้งที่ของเหล่านี้จำเป็นมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลที่เกิดอุบัติเหตุบ่อย อรนภัสรู้สึกว่า การผลิตผ้าห่อร่างเพียงอย่างเดียวเป็น “วงจรที่สั้นเกินไป” จึงเริ่มมองหาวิธีทำให้สิ่งนี้ต่อยอดได้มากกว่า
ทั้งนี้แรงบันดาลใจเกิดจากการเห็นแนวคิดการพับผ้าแบบ “Towel Origami” ที่นำผ้ามาพับเป็นรูปต่าง ๆ เช่น ช้างหรือหงส์ ผนวกกับวัฒนธรรมไทยที่นิยมทำบุญ จึงเกิดเป็นไอเดียของพวงหรีดผ้าดิบ ที่หลังจบงานสามารถนำไปใช้เป็น ผ้าห่อร่างเพื่อบริจาคต่อ ได้ทันที
ต่อยอดโรงงานทอผ้าตั้ง BU ใหม่
อรนภัสมองว่า โจทย์ของการสร้างธุรกิจใหม่ไม่ใช่การเริ่มจากศูนย์ แต่คือการต่อยอดจากสิ่งที่ครอบครัวทำไว้ โดยยึดรากฐานของ โรงงานทอผ้า ซึ่งมีโครงสร้างและเครื่องจักรลงทุนไปแล้วเป็นหลัก แม้ธุรกิจดั้งเดิมจะมีข้อจำกัดในการเปลี่ยนโมเดล แต่เธอเลือกจะต่อยอดมากกว่าทิ้งแล้วเริ่มใหม่
ขณะเดียวกันเธอมองว่าต้องใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้คุ้มค่าแนวทางที่เลือกคือการตั้ง หน่วยธุรกิจใหม่ (Business Unit – BU) ขึ้นมา โดยใช้ทรัพยากรที่โรงงานมีอยู่แล้ว ทั้งเครื่องจักร วัตถุดิบ และแรงงาน พร้อมเติมแนวคิดใหม่เข้าไป เพื่อเพิ่มมูลค่าและศักยภาพในการผลิตให้มากขึ้นจากต้นทุนเดิม
“การเริ่มต้นธุรกิจใหม่ต้องคำนวณความเสี่ยงอย่างรอบคอบ เราวางแผนให้การลงทุนใน BU ใหม่นี้ ใช้งบให้น้อยที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้ธุรกิจหลักได้รับผลกระทบ หากโครงการใหม่ไม่ประสบความสำเร็จ โรงงานเดิมจะยังคงดำเนินต่อได้อย่างมั่นคง”
อย่างไรก็ตาม ก่อนนำเสนอแนวคิดต่อครอบครัว เธอลงมือศึกษาความเป็นไปได้ และ เก็บ research อย่างละเอียด เพื่อให้เห็นชัดว่า BU ใหม่นี้ใช้ต้นทุนเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่สามารถสร้างคุณค่ามากกว่าเดิม หัวใจสำคัญอยู่ที่การ ลงมือทำอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้ผู้บริหารรุ่นก่อนเห็นภาพจริง เห็นตัวเลข และเชื่อมั่นว่าสิ่งใหม่ที่เพิ่มเข้ามา คือการต่อยอดที่จับต้องได้ ไม่ใช่แค่ความฝัน
“ในช่วงแรกที่นำเสนอแนวคิดต่อคุณพ่อคุณแม่ ยังไม่ได้พูดถึงตัวเลขหรือแผนธุรกิจเชิงลึก แต่เลือกเล่าในรูปแบบของ แนวคิดเชิงทฤษฎี พร้อมภาพวาดร่างไอเดีย เพื่อให้เห็นภาพรวมของสิ่งที่อยากทำมากกว่าการขายด้วยตัวเลขแม้จะเป็นเพียงแนวคิด แต่การนำเสนอมาพร้อมข้อมูลสนับสนุนครบถ้วน ทั้งผลการรีเสิร์ช, สถิติ (stat) และการวิเคราะห์มูลค่าตลาด (Market Cap) เพื่อให้เห็นศักยภาพของธุรกิจใหม่ โดยชี้ให้เห็นว่า แค่ได้ส่วนแบ่งตลาดเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ เราก็อยู่รอดแล้ว”
เมื่อคุณพ่อคุณแม่ได้ฟัง ต่างรู้สึกทั้ง ตกใจและแปลกใจ ว่า “พวงหรีดมาได้ยังไงจากโรงงานทอผ้า?” เพราะเป็นแนวคิดที่ดูห่างไกลจากธุรกิจเดิม แต่ด้วยความที่ทั้งสองท่านเป็นคน เปิดกว้างและสนับสนุนให้ลูกได้ลอง จึงยินดีให้โอกาสสทดลองทำจริง เพื่อพิสูจน์ว่าความคิดนี้สามารถต่อยอดจากรากธุรกิจครอบครัวได้จริง
“นิรันดร์” พวงหรีดทางเลือกเพื่อโลกและสังคม
“นิรันดร์” (Niran) คือพวงหรีดทางเลือกที่ออกแบบมาเพื่อเป็น สัญลักษณ์แห่งการไว้อาลัยอย่างยั่งยืน ผลิตจาก ผ้าดิบ แทนดอกไม้สด โดยกว่า 50% ของผ้าที่ใช้เป็นผ้ารีไซเคิล (Recycle Fiber) และโรงงานทอผ้าของครอบครัวทั้งหมดใช้พลังงานจาก โซลาร์เซลล์ (Solar Cell) เพื่อให้ทุกขั้นตอนการผลิตเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุด
ไว้อาลัยโดยไม่สร้างขยะ
แนวคิดของนิรันดร์คือ “ไว้อาลัย แบบไม่ทิ้งอะไร” เพื่อแก้ปัญหาพวงหรีดแบบเดิมที่มักถูกทิ้งหรือเผาหลังงานศพ ซึ่งก่อให้เกิดขยะและมลภาวะ การออกแบบพวงหรีดจากผ้าดิบจึงเป็นทั้งการแสดงความอาลัย และการส่งต่อคุณค่าต่อไปได้จริง หลังจบงาน พวงหรีดผ้าดิบสามารถ นำไปบริจาคต่อเป็นผ้าห่อศพ ให้หน่วยกู้ภัย โรงพยาบาล หรือใช้ในชั้นเรียนแพทย์สำหรับห่ออาจารย์ใหญ่ได้
อีกทั้งยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์อื่น เช่น ปูโต๊ะ หรือเย็บต่อเป็นของใช้ในวัด เพราะผ้าดิบมีคุณภาพและความแข็งแรงสูง การทำบุญในลักษณะนี้จึงเป็น การทำบุญร่วมกันระหว่างผู้ซื้อ เจ้าภาพ และผู้วายชน
ส่งต่อโอกาสสู่สังคม
นอกจากการบริจาคผ้าห่อศพ นิรันดร์ยังจัดโครงการ มอบชุดนักเรียน ให้เด็กชั้นประถมปีที่ 1–6 ในครอบครัวยากจนและยากจนพิเศษ เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง โดยเฉพาะเด็ก ป.6 ที่โตเร็วและต้องเปลี่ยนชุดบ่อย
ไม่เพียงเท่านั้นยังสร้างอาชีพให้ผู้พิการ ทุกพวงหรีดของนิรันดร์ยังมีส่วนช่วย สร้างรายได้ให้ผู้พิการและผู้บกพร่องทางการมองเห็น ผ่านการร่วมมือกับสมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย เพื่อให้ธุรกิจนี้เป็นมากกว่าแค่สินค้า แต่เป็นโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้อื่น
นิรันดร์ เป็นลูกค้าของโรงงานครอบครัว
แม้จะเป็นธุรกิจใหม่ แต่นิรันดร์ ยังคงเชื่อมโยงกับโรงงานทอผ้าของครอบครัว โดยทำหน้าที่เป็นลูกค้าหลักของโรงงานเอง ช่วยให้สามารถ ควบคุมต้นทุนและคุณภาพในซัพพลายเชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ กลายเป็นตัวอย่างของการต่อยอดธุรกิจดั้งเดิมให้เติบโตไปพร้อมกับสังคมและสิ่งแวดล้อม
จากกรุงเทพฯ ปริมณฑล ถึงต่างจังหวัด
นิรันดร์จัดส่งในพื้นที่หลักกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยในพื้นที่กรุงเทพฯ และสมุทรปราการมีบริการ จัดส่งฟรี ส่วนจังหวัดใกล้เคียงคิดค่าขนส่งแบบเหมาเพียง 150 บาท โดยทีมงานมีมาตรฐานการส่งให้ถึง ก่อนเวลา 18.00 น. เพื่อให้พวงหรีดถึงสถานที่ก่อนเริ่มพิธีสวดทุกครั้ง
นอกจากนี้ยังขยายสาขาต่างจังหวัดผ่านระบบแฟรนไชส์ นิรันดร์เลือกขยายตลาดต่างจังหวัดด้วย โมเดลแฟรนไชส์ ซึ่งปัจจุบันมีแล้วกว่า 25 สาขาทั่วประเทศ โดยส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมือง การคัดเลือกแฟรนไชส์จะเน้นผู้ที่ มีธุรกิจท้องถิ่นอยู่แล้ว เพื่อให้สามารถทำการตลาดและเชื่อมโยงกับชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เปิดมา 2 ปีเติบโตต่อเนื่อง
อรนภัส เล่าต่อว่า หลังเปิดแบรนด์มาได้ กว่า 2 ปี “นิรันดร์ กำลังอยู่ในช่วงเติบโตอย่างต่อเนื่อง" โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการ ขยายสาขาไปยังหัวเมืองหลักทุกจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้บริการเข้าถึงผู้คนมากขึ้น ในอนาคตอันใกล้ นิรันดร์เตรียมเปิดตัว 2 ความร่วมมือ (Collaboration Projects) กับพันธมิตรที่มี วิสัยทัศน์และพันธกิจเดียวกัน เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมทางสังคมในรูปแบบใหม่
นอกจากนี้ ยังมีแผน ขยายบริการที่เกี่ยวข้องกับงานศพ (Funeral Services) ให้ครอบคลุมในหลายมิติ ตั้งแต่การออกแบบ การบริจาค ไปจนถึงการจัดการอย่างยั่งยืน โดยยังคงยึดมั่นในหลักการเดิม คือการเป็นธุรกิจที่ ช่วยเหลือสังคม เกื้อกูลชุมชน และรักษ์โลก อย่างแท้จริง
การตลาด ไม่เคยอยู่ในพจนากรมทำธุรกิจมาก่อน
สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก การทำการตลาดถือเป็นเรื่องที่มีต้นทุนสูงมาก ในช่วงเริ่มต้น ทีมผู้บริหารยังไม่กล้าขอเงินจำนวนมากจากครอบครัว เพื่อลงโฆษณา เนื่องจากธุรกิจเดิมของครอบครัวเป็นโรงงานทอผ้าแบบ B2B ที่ “คำว่าการตลาด” แทบไม่เคยอยู่ในพจนานุกรมการทำธุรกิจมาก่อน แต่การที่แบรนด์ได้รับความสนใจอย่างรวดเร็ว กลับช่วย เร่งการขยายตัว (Expand) และ เปิดโอกาสใหม่ ๆ ทั้งในแง่ของพันธมิตรและลูกค้าที่เข้ามาให้ความสนใจมากขึ้น
ธุรกิจครอบครัว พ่อแม่ย่อมคาดหวังเป็นปกติ
แม้ความสัมพันธ์ในครอบครัวจะดี แต่การทำธุรกิจร่วมกันย่อมมีความกระทบกระทั่งเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในฐานะ รุ่นที่ 2 สิ่งสำคัญที่สุดคือ การสื่อสารอย่างชัดเจน
"คุณพ่อคุณแม่มักมีความคาดหวังสูง ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่ความคาดหวังของแต่ละฝ่ายอาจไม่เท่ากันเนื่องจากไม่เคยนั่งเปิดใจพูดคุยกันจริง ๆ ดังนั้นการแยก ความสัมพันธ์ส่วนตัวออกจากธุรกิจ จึงเป็นสิ่งจำเป็น แม้จะทำได้ยาก หนึ่งในวิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ คือการ ตั้ง Mind Stone Set หรือกำหนดหลักชัยร่วมกัน และนัดหมายเพื่อ Circle Back ตรวจสอบความคืบหน้าอย่างสม่ำเสมอ ในช่วงเวลาทำงาน สิ่งสำคัญคือการให้พ่อแม่ ปล่อยให้ทำงานตามแผนของตัวเอง"
เธอบอกว่า การรับฟังประสบการณ์ของพ่อแม่เปรียบเสมือนการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่สามารถนำมาใช้ในปัจจุบัน และเมื่อเกิดความขัดแย้ง สิ่งสำคัญคือการเปิดใจรับฟัง เพราะทุกคนมีเป้าหมายเดียวกันคือ อยากให้ธุรกิจเติบโตและหวังดีต่อกัน
เครดิตภาพ : เฟซบุ๊ก Niran นิรันดร์ พวกหรีดรักษ์โลก


