ไร่ภักดี จ.ตาก ปลูกกล้วยหอมทอง ฟาร์ม 300 ไร่ ส่งขายวันละ 30,000 ลูก
เกษตรกรไร่ภักดี จ.ตาก พลิกชีวิต ปลูก ‘กล้วยหอมทอง’ จาก 20 ไร่ สู่ฟาร์ม 300 ไร่ ส่งขายวันละ 30,000 ลูก โมเดิร์นเทรด ร้านสะดวกซื้อ
KEY
POINTS
- ไร่ภักดี ที่ อ.พบพระ จ.ตาก ขยายพื้นที่ปลูกกล้วยหอมทองจาก 20 ไร่ เป็น 300 ไร่
- ส่งขายกล้วยหอมทองคุณภาพให้กับร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ทุกวัน จากเริ่มต้น 2,000 ลูก จนปัจจุบันอยู่ที่วันละ 30,000 ลูก
- เปลี่ยนจากการส่งขายตลาดค้าส่งที่ราคาไม่แน่นอน มาเป็นการส่งให้ร้านสะดวกซื้อโดยตรง ทำให้มีตลาดที่มั่นคง
สร้างอาชีพและอนาคตที่มั่นคงอาจไม่ใช่เรื่องกล้วยๆ แต่ “กล้วย” พืชบ้านๆ สามารถสร้างอาชีพ ปลดหนี้ ช่วยเกษตรกรสร้างเนื้อสร้างตัวได้ อย่างที่ภักดี ภักดิ์วิภาวรกุล เจ้าของไร่ภักดี อ.พบพระ จ. ตาก ผู้ส่งกล้วยหอมทองเนื้อแน่นคุณภาพดีให้กับร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ของประเทศ เริ่มต้นจากวันละ 2,000 ลูก สู่วันละ 30,000 ลูกในวันนี้
ตลอดระยะเวลานานกว่า 30 ปีของอาชีพเกษตรกรที่ทดลองปลูกพืชหลากหลายชนิด กว่าจะมาลงตัวที่กล้วยหอมทอง จากไร่เล็กๆ 20 ไร่ สู่ฟาร์มกล้วยหอมทองขนาด 300 ไร่ในวันนี้ ภักดีต้องฝ่าฟันอะไรมากมาย แต่ด้วยอาศัยความอดทน พร้อมลุยไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่น เอาใจใส่ มองการณ์ไกล และปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงเสมอ
รวมทั้งการมีรถกระบะที่อึด ทนทาน วางใจได้เป็นผู้ช่วยสำคัญที่ทำให้สามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้าได้ทุกวันต่อเนื่องมาหลายปี ทำให้ภักดีมีอาชีพที่มั่นคงสามารถเลี้ยงครอบครัวและคนงานในไร่ได้เป็นอย่างดี
เส้นทางสู่การเป็นเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จ ไม่ได้เริ่มจากกล้วยตั้งแต่แรก แต่เป็นการปลูกกุหลาบ เพราะในช่วงนั้นกุหลาบให้ผลตอบแทนดี ต้นทุนไม่มากนัก แต่ตอนหลังเมื่อต้นทุนเพิ่มขึ้น เริ่มไม่คุ้ม จึงได้มองหาพืชอื่นๆ ที่ต้นทุนไม่สูง และสามารถให้ผลกำไรที่สูงขึ้น จึงได้ทดลองปลูกผลไม้หลายชนิด เช่น ชมพู่ ฝรั่ง มะนาว เพื่อหาว่าผลไม้ชนิดใดที่จะมีความคุ้มค่าในเชิงธุรกิจมากที่สุด บังเอิญ ในช่วงที่ปลูกมะนาว ทางไร่ได้ปลูกกล้วยแซม แล้วพบว่ากล้วยให้ผลตอบแทนดี มีคุณภาพและรสชาติดี ประกอบกับมะนาวเริ่มมีต้นทุนสูง เลยตัดสินใจหันมาปลูกกล้วยจริงๆ จังๆ เพียงชนิดเดียวตั้งแต่ 20 ปีก่อน
สิ่งหนึ่งที่ทำให้กล้วยหอมทองจากไร่ภักดียังคงเป็นธุรกิจที่มั่นคงได้ คือ คุณภาพ ซึ่งได้มาจากการดูแลกล้วยแบบธรรมชาติ ใช้ปุ๋ยคอก ไม่ใช้สารเคมี
ที่สำคัญคือ วิธีปลูกที่แตกต่าง เพราะโดยทั่วไปแล้ว เกษตรกรจะยกแปลงและปลูกกล้วยเป็นระยะๆ ห่างกันพอสมควร และเมื่อกล้วยออกเครือ ตัดขายได้แล้ว 2-3 รุ่น เกษตรกรจะตัดต้นทิ้ง รื้อแปลง และไถพรวนเพื่อให้อากาศเข้าไปในดินช่วยกำจัดเชื้อราและแมลงศัตรูพืช ก่อนจะเริ่มปลูกรุ่นใหม่
“แต่เราปลูกแน่นทั้งหมดเลย ไม่ต้องมีรุ่น ปลูกแล้วจะเก็บเกี่ยวได้ทั้งปี ทำให้คุณภาพดี มีจำนวนที่แน่นอน ควบคุมปริมาณได้ง่าย” ภักดีเล่าให้ฟัง
การสังเกต เอาใจใส่ และคิดต่างแบบนี้ คือหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ภักดีเป็นเกษตรกรแถวหน้าที่ประสบความสำเร็จได้แบบยั่งยืน
ส่งตลาดราคาไม่แน่นอนจึงลุยโมเดิร์นเทรด ร้านสะดวกซื้อ
เมื่อผลผลิตมีพร้อม ความท้าทายต่อไปคือเรื่องของตลาด ในระยะแรก ไร่ภักดีส่งกล้วยไปขายที่ตลาดขายส่ง แต่ราคามีการเปลี่ยนแปลงบ่อย ช่วงราคาดีก็ได้กำไรมากหน่อย แต่บางช่วงราคาตกก็จะขาดทุน และความต้องการของตลาดยังไม่คงที่ ทำให้กล้วยขายไม่หมดก็มี
“เราเริ่มมองหาตลาดใหม่ที่เหมาะกับของๆ เรา เลยเริ่มมองตลาดโมเดิร์นเทรดและร้านสะดวกซื้อ พอติดต่อร้านสะดวกซื้อแล้ว ก็เริ่มส่งเลย จากวันละ 2,000 กว่าลูก เพิ่มเป็นหมื่นกว่าลูก สองหมื่นลูกในระยะเวลา 2 ปี ตอนนี้ ตอนนี้เราส่งให้ร้านสะดวกซื้อมา เกือบ 10 ปีแล้ว ส่งทุกวัน วันละเกือบ 30,000 ลูก”
การขนส่งกล้วยอย่างมีประสิทธิภาพ มีความแน่นอน วางใจได้ จึงมีความสำคัญมาก ภักดีตัดสินใจที่จะซื้อรถไว้ขนของไปส่งตลาดเองโดยตรงจะได้รับผลตอบแทนดีกว่าการขายผ่านพ่อค้าคนกลางมาก


