posttoday

Global North รวมกลุ่ม กดดัน SME ไทยมาร์จิ้นต่ำ 25% เสี่ยงหลุดวงจร

31 กรกฎาคม 2568

อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ชี้โลกเข้าสู่ยุค “Global North รวมกลุ่ม” ผลักฐานการผลิตกลับประเทศพัฒนาแล้ว ใช้เทคโนโลยีไร้แรงงานลดต้นทุน กดดัน SME ไทยกำไรไม่ถึง 25% อยู่ยาก

รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์  กล่าวกล่าวในงานเสวนา พลิกวิกฤตสงครามการค้า สู่โอกาสใหม่ SMEs ไทย เติบโตยั่งยืนว่า แนวโน้มการพัฒนาเศรษฐกิจ ธุรกิจทั้งในและต่างประเทศจากนี้ไปจะแตกต่างจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิง แบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 

 

“ตอนนี้ภาษีเฉลี่ยที่สหรัฐฯ จะเก็บกับสินค้านำเข้าจากประเทศต่าง ๆ โดยตัวเลขดีสุดคือ 15-20% หากใครได้รับอัตราที่สูงมากกว่านี้ก็อาจได้รับความยากลำบากมากขึ้น เพราะฉะนั้นการประกอบการของ SME ต่อจากนี้ต้องคิดว่าจะมีมาร์จิ้นหรือกำไรขั้นต้นอยู่ที่อย่างน้อย 25-30% เพื่อรองรับต้นทุนที่สูงขึ้น หากไม่ได้กำไรระดับนี้ แต่เจอภาษีเพิ่มอีก 20% ถือว่าหนัก”

 

รศ.ดร.สมภพ ระบุว่า การแข่งขันทางเศรษฐกิจของไทยจะต้องเดินไปพร้อมกับประเทศหลักในอาเซียน เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งต่างเร่งปรับตัวรับมือความท้าทายเช่นเดียวกัน

 

ทั้งนี้ หากการประกอบการที่มีภาระภาษีส่งออกในอัตรา 20% ผู้ที่ต้องรับผลกระทบโดยตรงไม่ใช่ผู้นำเข้าหรือผู้บริโภคในสหรัฐฯ แต่คือฝั่งผู้ส่งออกอย่างไทย ซึ่งอัตราภาษีในโลกนี้มันไม่เท่ากัน ฉะนั้นผู้นำเข้าสหรัฐฯ จะมีทางเลือกมากมาย เขาสามารถเลือกซื้อสินค้าจากประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำกว่า ส่งผลให้ราคาสินค้าถูกลงตามไปด้วย ที่สำคัญชาติที่มีการถูกเก็บภาษีเท่า ๆ กัน ก็จะแข่งขันกันอย่างดุเดือดมากขึ้น 

 

ประเทศพัฒนาแล้วรวมกลุ่มมากขึ้น

 

นอกจากนี้ รศ.ดร.สมภพ ยังชี้ว่า แนวโน้มของเศรษฐกิจโลกต่อจากนี้จะเกิดการรวมกลุ่มกันของประเทศพัฒนาแล้ว (Global North) ซึ่งจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อประเทศผู้ส่งออกที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มพันธมิตรหลัก

 

“ดูแค่นโยบายของทรัมป์ก็เห็นภาพชัด เขากำหนดอัตราภาษีสำหรับญี่ปุ่นและสหภาพยุโรปไว้ที่ 15% พร้อมตั้งเป้าหมายให้ญี่ปุ่นต้องเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ อีก 550,000 ล้านเหรียญ ขณะที่ EU ก็ถูกผลักดันให้ลงทุนเพิ่ม 600,000 ล้านเหรียญ เช่นกัน ภายใน 2 ปีข้างหน้านี้ ฉะนั้นประเทศพัฒนาแล้วกำลังย้ายฐานการผลิตเข้าสู่ประเทศพัฒนาแล้วที่เรียกว่าความร่วมมือของ Global North เพราะการเข้าไปลงทุนในอเมริกา นอกจากหลีกเลี่ยงภาษีไม่สูง แต่ยังทำให้สินค้าที่ผลิตในสหรัฐฯ ได้สิทธิภาษี 0% ในหลายประเทศทั่วโลก ปรากฏการณ์นี้คาดว่าจะส่งผลให้ประเทศอย่างญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ไต้หวัน และเกาหลีใต้ เตรียมย้ายฐานการผลิตเข้าสหรัฐฯ ในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน 

 

โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยี AI เข้ามามีบทบาทยิ่งง่าย นี่คือยุคของ Reasoning AI หรือ Agentic AI ที่ไม่ใช่แค่แสดงผลบนหน้าจออีกต่อไป แต่จะเชื่อมต่อกับระบบ Physical เช่น หุ่นยนต์หรือเครื่องจักรกล เกิดเป็นเทคโนโลยีไร้แรงงาน (Unmanned Technology) ที่สามารถทำงานได้โดยไม่พึ่งพามนุษย์ 

 

สหรัฐฯกำลังเป็นศูนย์กลางการผลิต

 

รศ.ดร.สมภพ กล่าวอีกว่า สหรัฐฯ ซึ่งเคยเสียเปรียบเชิงอุตสาหกรรมในอดีต กำลังกลับมาเป็นศูนย์กลางการผลิต ซึ่งกระตุ้นให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในสหรัฐฯ เพื่อใช้ประโยชน์จากระบบภาษีและโอกาสในการเข้าถึงตลาดโลกแบบปลอดภาษี

 

“คำถามสำคัญคือ ประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะกลุ่ม SME จะรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างไร ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างนี้ ถ้าผู้ประกอบการไม่มีมาร์จิ้นขั้นต่ำ 25% จะอยู่ได้ยากในสภาวะนี้ และอาจต้องมากกว่านั้นด้วยซ้ำ หากต้องแบกรับภาระภาษีอีก 20%”

 

SME ต้องเพิ่มประสิทธิภาพ 3 ด้าน

 

แนวทางสำคัญที่ SME ต้องเร่งทำ คือการ บริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ (Cost Management) ผ่านการเพิ่ม “Triple Productivity” หรือประสิทธิภาพใน 3 มิติ คือ

  1. Labor Productivity – ใช้แรงงานเท่าเดิม แต่สร้างผลผลิตเพิ่มขึ้น
  2. Time Productivity – ใช้เวลาเท่าเดิม แต่ได้งานมากขึ้น
  3. Capital Productivity – ใช้เงินทุนเท่าเดิม แต่ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า


สิ่งสำคัญคือต้องพึ่งพา เทคโนโลยีดิจิทัล โดยเฉพาะ AI เพื่อยกระดับการจัดการและการผลิต ทั้งในด้าน Smart Production, Smart Logistics, Smart Marketing ฯลฯ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนโดยไม่จำเป็นต้องใช้สเกลใหญ่เท่านั้น แม้ธุรกิจขนาดกลางหรือเล็กก็สามารถแข่งขันได้หากใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ

 

แรงกระแทกจากสินค้าจีน 

 

รศ.ดร.สมภพ ชี้ว่า ในช่วง 3–6 เดือนข้างหน้า สถานการณ์โลกจะยังคงปั่นป่วน โดยเฉพาะหลังจากสหรัฐฯ สรุปท่าทีชัดเจนเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้า ซึ่งมีแนวโน้มกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะสินค้าจากจีนที่กำลังเผชิญปัญหา Over Capacity จากการไม่สามารถส่งออกไปสหรัฐฯ ได้ในระดับมากเท่าเดิม

 

“การเจรจารอบล่าสุดที่สวีเดนยังไม่ลงตัว และต้องรอการตัดสินจากทรัมป์ว่าจะขยายเวลาการเจรจาออกไปอีก 90 วันหรือไม่” 

 

ในระยะสั้น ประเทศไทยอาจเผชิญแรงกระแทกจากการนำเข้าสินค้าจีน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่

  • Final Product – สินค้าสำเร็จรูปที่กระทบตลาดผู้บริโภคโดยตรง
  •  (Components/Parts) – ชิ้นส่วนและวัตถุดิบที่ภาคการผลิตไทยต้องพึ่งพา


“เนื่องจากสเกลของไทยไม่ใหญ่พอที่จะผลิตวัตถุดิบครบวงจรได้เอง การนำเข้าจากจีนยังจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับกลุ่ม OEM”


 

ข่าวล่าสุด

บุกอาณาจักร "MELAND" สวนสนุกธีมเทพนิยายกว่า 5 พัน ตร.ม. ใจกลางกรุง