PASAYA ชี้อุตสาหกรรมสิ่งทอไทยทรุด ทยอยปิดตัว เหลือรอดไม่ถึง 30%
PASAYA ชี้อุตสาหกรรมสิ่งทอไทย หดตัวมานานกว่า 20 ปี ทยอยปิดกิจการเหลือผู้เล่นราว 30% วิกฤตรุมเร้า นักธุรกิจยุคนี้ต้องรักษากระแสเงินสดเพื่อรอด
ชเล วุทธานันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สิ่งทอซาติน จำกัด ผู้ก่อตั้งแบรนด์ พาซาย่า (PASAYA) กล่าวกับ โพสต์ทูเดย์ว่า บริษัทดำเนินกิจการโรงงานผลิตสิ่งทอมาแล้วกว่า 40 ปี ซึ่งเป็นกิจการของครอบครัวโดยช่วงแรกเน้นรับจ้างผลิต (OEM) และส่งออกต่างประเทศเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม ภายหลังการเติบโตของจีนในตลาดสิ่งทอเมื่อราว 20–25 ปีก่อน ทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้น จึงตัดสินใจก่อตั้งแบรนด์ “พาซาย่า” เพื่อสร้างจุดยืนของตัวเองในอุตสาหกรรม
“ผมมองว่า การส่งออกอย่างเดียวคงไม่ยั่งยืน จีนลุกขึ้นมาอย่างแข็งแกร่ง ถ้าเราไม่ปรับตัว เราก็อยู่ไม่รอด”
เช่นเดียวกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันจะชะลอตัว พาซาย่ายังสามารถประคองธุรกิจได้ เพราะมีแบรนด์เป็นของตัวเอง ซึ่งช่วยสร้างมูลค่าและความยั่งยืนในระยะยาว ตรงตามที่คุณชเลคาดไว้
- อุตสาหกรรมสิ่งทอไทยหดตัวมานานกว่า 20 ปี
คุณชเลยังชี้ให้เห็นว่า อุตสาหกรรมสิ่งทอไทยในภาพรวมกำลังเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่ โดยธุรกิจในประเทศหดตัวลงแล้วกว่าครึ่งในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา หลายรายทยอยปิดกิจการ เหลือเพียงประมาณ 30% ที่ยังดำเนินธุรกิจต่อไปได้ และในจำนวนนี้มีไม่น้อยเตรียมปิดตัว
“อุตสาหกรรมนี้อยู่ในภาวะแข่งขันไม่ได้ ปัจจัยสำคัญคือเสถียรภาพของรัฐบาลที่หายไป ทำให้ไม่สามารถผลักดันนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมได้ ข้าราชการก็ขยับตัวลำบาก เพราะความขัดแย้งทางการเมืองที่ยืดเยื้อ”
- แนวโน้มหดตัว เห็นชัดในช่วง 5 ปี
คุณชเล ระบุอีกว่า ตลอดกว่า 30 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยให้น้ำหนักกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นหลัก ส่งผลให้การพัฒนาอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีและวิศวกรรมถูกลดความสำคัญลงอย่างชัดเจน ซึ่งแนวโน้มการหดตัวอุตสาหกรรมสิ่งทอเริ่มชัดเจนตั้งแต่ปี 2005 และรุนแรงมากในช่วงหลังปี 2011 โดยเฉพาะช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ที่ภาคการส่งออกเผชิญแรงกดดันอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามที่มีความสามารถทางการแข่งขันสูงขึ้น
“ทุกวันนี้ ส่งออกก็สู้คนอื่นไม่ได้ โดยเฉพาะเวียดนามที่เติบโตเร็วมาก หลังเปิดประเทศก็แซงไทยไปไกลแล้ว”
เมื่อถูกถามถึงการแข่งขันกับสินค้าราคาถูกในตลาด คุณชเล มองว่าสินค้าราคาต่ำส่วนใหญ่มักลดคุณภาพเพื่อทำราคา ซึ่งต่างจาก พาซาย่าที่ยึดมาตรฐานเป็นหลัก และไม่ลดทอนคุณภาพแม้เศรษฐกิจจะเปลี่ยนแปลง
“เราขายคุณภาพ ไม่ใช่ขายถูก ถ้าสินค้าราคาถูกที่คุณภาพเทียบเท่าเราได้จริง ผมว่ายังไม่มี”
เขาย้ำว่าในภาวะที่ผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและคุณภาพ แบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือจะได้เปรียบในระยะยาว
- เศรษฐกิจครึ่งปีหลัง “คาดเดายาก”
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจโลกในครึ่งปีหลัง 2568 คุณชเลมองว่ายังมีความไม่แน่นอนสูงจากหลายปัจจัย ทั้งความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ความเสี่ยงจากนโยบายของ “ทรัมป์” และการเปลี่ยนแปลงของภาษีระหว่างประเทศ
“ภาวะเศรษฐกิจโลกตอนนี้มันคาดเดายาก สหรัฐฯ ยุโรปก็มีปัญหา ความมั่นคง ตะวันออกกลางก็ยังเสี่ยงเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ สร้างผลกระทบกว้างมาก เราจึงต้องระวังในการวางแผน อย่างพาซาย่า ลูกค้าหลักก็เป็นคนไทย ไม่ได้พึ่งต่างชาติ เพราะในแต่ละประเทศมีแบรนด์ท้องถิ่นที่แข็งแรงอยู่แล้ว ซึ่งมีฐานลูกค้าชัดเจน และมีสินค้าที่ครอบคลุมหลากหลายรายการ ทั้งชุดเครื่องนอน สิ่งของใช้ในชีวิตประจำวันอย่างกระเป๋า ”
แต่อย่างไรก็ตามคุณชเล บอกว่า ก็ต้องคอยติดตาม เพราะสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นล้วนกระทบต่อธุรกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม แม้จะไม่ถึงขั้นเกิดสงครามโลกเต็มรูปแบบเหมือนยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ “สงครามเฉพาะจุด” หรือความขัดแย้งระดับภูมิภาคจะเกิดขึ้นต่อเนื่อง
“ผมไม่คิดว่าจะเกิดสงครามโลกใหญ่ ๆ อีก แต่สงครามในลักษณะเป็นหย่อม ๆ อย่างที่อิหร่านกับอิสราเอลเกิดขึ้น มันมีแน่ เช่น ถ้าอิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซ น้ำมันโลกจะขาดทันที ราคาก็จะแพงขึ้นทันที”
- ปัจจัยภายในน่าเป็นห่วง ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลถดถอย
นอกจากนี้ คุณชเล กล่าวอีกว่าปัจจัยในประเทศก็น่าห่วง เพราะปัญหาทางเศรษฐกิจส่วนหนึ่งเกิดจากความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลที่ลดลง ทั้งในด้านการบริหารนโยบายเศรษฐกิจ การลงทุน และเสถียรภาพโดยรวม
แล้วถามว่าธุรกิจควรปรับตัวอย่างไรในภาวะที่ไม่แน่นอนเช่นนี้?
คุณชเล กล่าวว่า นักธุรกิจไม่ควรมองแค่ระยะสั้น แต่ต้องวางแผนระยะยาว และที่สำคัญคือการบริหารสภาพคล่องทางการเงินอย่างรอบคอบ ซึ่งพาซาย่าก็ต้อวบริหารกระแสเงินสดของตนเอง ลงทุนในสิ่งที่ควรทำ พัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ที่มันตอบโจทย์การใช้เงินของคน
“อย่ามองแค่วันนี้ ต้องคิดเผื่ออนาคต รู้จักโยกเงินให้ถูกที่ ถูกเวลา และบริหารกระแสเงินสด (cash flow) ให้สมดุล อย่าให้ติดลบ แค่นั้นคุณก็อยู่รอดได้”


