วัฏจักรธุรกิจร้านอาหารสั้นลง บางรายเปิดไม่ถึงปีก็เจ๊งแล้ว
การอยู่รอดของร้านอาหารยุคนี้ผ่านหนึ่งปีก็ถือว่าเก่งแล้ว เช็กความเสี่ยงที่ผู้ประกอบการต้องระวัง ควรไปต่อ หรือพอแค่นี้
ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง วิกฤตธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มได้กลายเป็นประเด็นที่ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในปี 2568 ที่หลายสำนักวิจัยด้านเศรษฐกิจต่างชี้ตรงกันว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับ "วิกฤติคูณสาม" ทั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจโดยรวม ความระมัดระวังในการใช้จ่ายของผู้บริโภค และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินเอาไว้ว่า ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มในปี 2568 จะเติบโตเพียงเล็กน้อย โดยคาดว่ามูลค่าตลาดรวมจะอยู่ที่ประมาณ 646,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 2.8% จากปีก่อนหน้า ซึ่งถือเป็นอัตราการขยายตัวที่ต่ำเมื่อเทียบกับแนวโน้มในอดีต
หนึ่งในปัจจัยหลักที่ฉุดรั้งการเติบโตของธุรกิจนี้ คือ ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง ขณะที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มร้านอาหารที่เน้นกลุ่มนักท่องเที่ยว
ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ณ กลางปี 2568 ยังสะท้อนภาพชัดเจนว่า สถานการณ์การท่องเที่ยวระหว่างประเทศยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปี มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทยเพียง 12.9 ล้านคน ลดลง 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และยังมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง
แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางในประเทศจะยังขยายตัวได้ แต่การใช้จ่ายกลับอยู่ในระดับระมัดระวังมากขึ้น เนื่องจากหลายครัวเรือนยังเผชิญกับภาระค่าใช้จ่ายที่สูง และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
ในภาพรวม ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในปีนี้จึงเผชิญความท้าทายหลายด้าน ไม่เพียงแค่การแข่งขันที่รุนแรง แต่ยังรวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง และสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวยนัก
ความเสี่ยงที่ผู้ประกอบการต้องระวังคือ ต้นทุนที่สูงขึ้น ร้านอาหารมีสัดส่วนต้นทุนตามนี้
- 35% ค่าวัตถุดิบอาหาร ซึ่งยังมีทิศทางผันผวนและทรงตัวสูง
- 30% ค่าการตลาด และอื่นๆ
- 20% ค่าสาธารณูปโภคและค่าเช่า
- 30% ค่าการตลาด และอื่นๆ
- 15% ค่าแรง
พฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น เพราะ 5 ปัจจัย ที่เป็นมาตรฐานใหม่ของผู้บริโภคในปัจจุบัน “ความแปลกใหม่ - ประสบการณ์ - คุณภาพ - สุขภาพ -ราคาสมเหตุสมผล”
- โอกาสที่ซ่อนอยู่ในความเสี่ยง
ด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ความจงรักภักดีต่อแบรนด์ต่ำ เป็นโอกาสที่ร้านอาหารจะได้ลูกค้ากลุ่มใหม่ เพราะคนอยากลองของใหม่ โจทย์ที่ตามมาคือ เมื่อลูกค้าเปิดใจลองแล้ว ทำอย่างไรให้เขากลับมาซื้อซ้ำ
มีโอกาสได้ทำเลดี ในราคาถูกกว่า ร้านที่ประกาศเซ้งไม่ได้แปลว่าทำเลไม่ดีหรือไม่มีลูกค้า อาจเพราะไม่เข้าใจผู้บริโภคหรือบริหารจัดการธุรกิจไม่มีประสิทธิภาพ ถือว่าเป็นโอกาสของการลงทุนที่จะได้ทำเลดีในราคาถูกกว่าปกติ
- เช็กสัญญาณ ควรไปต่อหรือพอแค่นี้ ?
โอกาสไปต่อ
- ควบคุมต้นทุน ปรับสต๊อกให้เหมาะกับยอดขายได้
- เข้าใจและตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ได้ที่ต้องการ “ความแปลกใหม่ + ประสบการณ์ + คุณภาพ + สุขภาพ + ราคาสมเหตุสมผล”
- มีความเก่ง หรือเชี่ยวชาญในเมนูใดเมนูหนึ่ง เช่น เก่งเมนูข้าวมันไก่ ส้มตำ หรือก๋วยเตี๋ยว ที่ทำให้ลูกค้านึกถึงอาหารแล้วนึกถึงแบรนด์เราทันที
ควรพอแค่นี้
- ไม่วางแผนเรื่องโครงสร้างต้นทุน
- เพราะอนาคตแนวโน้มต้นทุนมีแต่สูงขึ้น ถ้าไม่วางแผนดีๆ โอกาสขาดทุนมีสูง
- ไม่ศึกษาตลาดและพฤติกรรมกลุ่มเป้าหมาย ด้วยพฤติกรรมที่เปลี่ยนไว และตามกระแสอยู่ตลอดเวลา ทำให้ลูกค้าสามารถเปลี่ยนใจไปได้ตลอด ดังนั้น ถ้าไม่ศึกษากลุ่มเป้าหมาย อาจทำให้ลูกค้าหดหายได้ง่ายๆ
- แบรนด์ไม่มีคาแรกเตอร์ที่ชัดเจน เพราะวันนี้ลูกค้าอยากได้บริการ หรือสินค้าจากผู้ประกอบการที่มีความรู้ ความถนัด หรือเชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ดังนั้น ถ้าแบรนด์ไม่ชัดเจนว่าเด่นเรื่องไหน โอกาสที่ลูกค้าจะมองข้ามมีสูงมาก
- วัฏจักรธุรกิจสั้นลงร้านเปิดไม่ถึงปี ก็เจ๊งแล้ว
นายสรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร เปิดเผยถึงภาพรวมของธุรกิจร้านอาหารในปัจจุบันว่า ร้านอาหารขนาดเล็กและผู้ประกอบการรายย่อยยังคงเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด
“ธุรกิจระดับล่างเป็นกลุ่มที่ปิดตัวมากที่สุด และขณะเดียวกันก็เป็นกลุ่มที่เปิดใหม่มากที่สุดเช่นกัน นั่นแปลว่าเปิดมาแล้วขายไม่ได้ ก็ต้องปิดตัวไปเพราะไปต่อไม่ไหว” นายสรเทพกล่าว
เขายังระบุว่า วัฏจักรของธุรกิจร้านอาหารยังคงดำเนินอยู่ แต่กลับหดสั้นลงเรื่อย ๆ จากเดิมที่ร้านอาหารกว่า 60% จะปิดตัวภายใน 1 ปี และอีก 30% อยู่ได้ไม่เกิน 3 ปี มีเพียง 20% เท่านั้นที่สามารถอยู่รอดได้ในระยะยาว แต่ในปัจจุบัน ตัวเลขร้านอาหารที่ปิดตัวภายใน 1 ปีลดระยะเวลาเหลือเพียง 7-8 เดือน สะท้อนถึงความเปราะบางของธุรกิจในช่วงเริ่มต้น
“วัฏจักรยังคงอยู่ แต่สั้นลงมาก ไม่ถึงหนึ่งปีก็เจ๊งแล้ว”
นายสรเทพยังกล่าวเพิ่มเติมว่า หากมองในภาพรวมระดับประเทศ เศรษฐกิจที่แข็งแรงต้องมีฐานรากที่มั่นคง โดยเฉพาะภาค SME ที่ถือเป็นเส้นเลือดฝอยสำคัญของระบบเศรษฐกิจ
“ประเทศที่เศรษฐกิจแข็งแรง มักมี SME ที่แข็งแรง อย่างญี่ปุ่น ไต้หวัน หรือเกาหลี เดินไปที่ไหนก็เห็นร้านอาหารท้องถิ่น ร้านปิ้งย่าง ร้านคาเฟ่กระจายอยู่ทุกซอกทุกมุม นั่นแหละคือรากฐานที่แท้จริงของความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ ซึ่งต่างจากบ้านเรา” เขากล่าวทิ้งท้าย
Source : K SME, ศูนย์วิจัยกสิกรไทย,รายการออนไลน์ จส.100


