ไทยต้องเร่งปรับตัว สินค้าส่งออกไหนเสี่ยงตกมาตรฐาน Biodiversity
หากโลกยกระดับมาตรฐาน Biodiversity เข้มข้น ไทยในฐานะผู้ส่งออกจะรับมืออย่างไร? กลุ่มสินค้าไทย ตัวไหนติดโผกลุ่มแรกต้องเร่งปรับตัว
ประเด็นเรื่อง ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) กลายเป็นหัวข้อสำคัญบนเวทีโลก โดยเฉพาะหลังการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ครั้งที่ 15 (ปี 2565) ซึ่งได้ข้อสรุปให้มีการปกป้องพื้นที่ธรรมชาติอย่างน้อย 30% ของพื้นที่ทั้งหมดภายในปี 2573 ข้อตกลงนี้ไม่เพียงเน้นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ผลักดันให้ภาคธุรกิจทั่วโลกต้องหันมาให้ความสำคัญกับ Biodiversity ทั้งในฐานะ “โอกาส” และ “ความเสี่ยง” ทางเศรษฐกิจ
อีกทั้งข้อมูลจาก World Economic Forum (WEF) ชี้ว่า การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพอาจสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจทั่วโลกสูงถึง 44 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของ GDP โลก ซึ่งทำให้หลายบริษัทในกลุ่ม Fortune Global 500 เริ่มขยับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมไปสู่การจัดการความหลากหลายทางชีวภาพอย่างจริงจัง
คำถามสำคัญจึงอยู่ที่ว่า ประเทศไทยในฐานะหนึ่งในผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารชั้นนำของโลกจะยกระดับมาตรฐานด้าน Biodiversity ได้อย่างไร?
ไทยอยู่ในอันดับที่ 16 ของโลกด้านมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร (ปี 2566) ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนต้องพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติอย่างมากทั้งการใช้ที่ดิน น้ำ และระบบนิเวศต่าง ๆ การเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมมาจากการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) ไม่ว่าจะเป็นดินเสื่อมสภาพ แหล่งน้ำปนเปื้อน หรือระบบนิเวศที่ไม่สมดุล ล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการผลิต ไม่ว่าจะเป็นผลผลิตที่ลดลง ความเสี่ยงจากโรคระบาดในพืชและสัตว์ หรือความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
ผลกระทบเหล่านี้ไม่เพียงสะเทือนเกษตรกร แต่ยังส่งแรงสั่นสะเทือนต่อผู้ประกอบการตลอดห่วงโซ่อุปทาน เช่น โรงงานแปรรูปอาหาร ที่อาจเผชิญปัญหาวัตถุดิบขาดแคลนหรือคุณภาพไม่แน่นอน
ทำไมธุรกิจเกษตรและอาหารไทยต้องให้ความสำคัญกับ Biodiversity ?
ข้อมูลจากรายงานวิจัยของ Krungthai COMPSS ระบุว่า Biodiversity ที่กำลังจะเป็นมาตรฐานใหม่ในมิติด้าน ESG เนื่องจาก
- ภาคการเกษตรและอาหารมีความเปราะบางจากประเด็นด้านไบโอ Diversity สูง
- ผู้บริโภคตระหนักเรื่อง Biodiversity มากขึ้น
- มาตรการกฎระเบียบทางการค้าและการเปิดข้อมูลด้าน Biodiversity ที่เข้มข้นขึ้น
- หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในไทยผลักดันเรื่อง Biodiversity อย่างจริงจัง ซึ่งรวมไปถึงมาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Thailand Taxonomy) ระยะ 2 ครอบคลุมภาคการเกษตร
- ปัญหาสงครามการค้าสร้างแรงกดดันให้ไทยต้องให้ความสำคัญเรื่องนี้มากขึ้น โดยเฉพาะวัตถุดิบทางการเกษตรที่ไทยต้องพึ่งพาการนำเข้ามาแปรรูปเพื่อส่งออก
โดยกลุ่มสินค้าเกษตรและอาหารไทยที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากเทรนด์เหล่านี้ เป็นกลุ่มแรกๆ ก็คือสินค้ากลุ่มเนื้อสัตว์แปรรูปและอาหารสัตว์ ซึ่งสินค้าเหล่านี้มักจะถูกจับตาในเรื่องของกฎระเบียบและมาตรการการค้าระหว่างประเทศใหม่ๆ ที่ให้ความสำคัญกับ Biodiversity ตลอดห่วงโซ่การผลิตและยังเป็นกลุ่มสินค้าที่พึ่งพาตลาดยุโรปซึ่งเป็นตลาดที่ให้ความสำคัญกับ Biodiversity อย่างเข้มข้น
ทั้งนี้สินค้า 2 กลุ่มหลักมีมูลค่าส่งออกไปยุโรปรวมกันถึง 65,300 ล้านบาทต่อปี หรือ 7% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารรวมกันของไทยซึ่งอยู่ที่กว่า 1 ล้านล้านบาทต่อปี
สิ่งที่งานวิจัยจากกรุงไทยฯ มองคือผู้ประกอบการต้องยกระดับ เลือกวัตถุดิบจากแหล่งที่ไม่ทำลายป่าและระบบนิเวศ รวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ใช้โปรตีนทางเลือก มีระบบตรวจสอบย้อนกลับตั้งแต่วัตถุดิบจนถึงมือผู้บริโภค และร่วมมือกับผู้เกี่ยวข้องใน Ecosystem ในการพัฒนาโครงการด้าน Biodiversity
กฏระเบียบไทย-ต่างชาติครอบคลุมตรวจสอบ Biodiversity
- ในประเทศไทย มี Thailand Taxonomy ระยะ 2 ครอบคลุมภาคเกษตรข้าวมันสำปะหลังยางพารา
- ขณะที่มาตรฐานต่างประเทศมีกฎหมายสินค้าที่ปลอดการทำลายป่าไม้ของสหภาพยุโรปที่เรียกว่า EUDR สินค้าเข้าข่ายกระทบจะอยู่ในกลุ่มสินค้าปศุสัตว์และเนื้อสัตว์ ยางพารา น้ำมันปาล์ม อาหารสัตว์ จะมีผลบังคับใช้จริงตั้งแต่ 30 ธันวาคม 2568 สำหรับบริษัทขนาดใหญ่และ 30 มิถุนายน 2569 สำหรับ SMEs ซึ่งครอบคลุมสินค้าโกโก้กาแฟน้ำมันปาล์มยางพาราถั่วเหลืองและไม้
- มาตรฐานการผลิตน้ำตาลอย่างยั่งยืน (Bonsucro) กลุ่มสินค้าน้ำตาลและผลิตภัณฑ์จากน้ำตาล
- มาตรฐานการประมงที่ยั่งยืน MSC (Marine Stewardship Council) และมาตรฐานการเพาะเลี้ยงสัตว์น้าอย่างยั่งยืน หรือ ASC (Aquaculture Stewardship Council) เข้าข่ายกลุ่มสินค้าอาหารทะเลแปรรูป
- การเปิดเผยข้อมูล TNFD (Taskforce on Nature-Related Financial Disclosures) กลุ่มสินค้าเกษตร
เปิดลิสต์สินค้าเกษตรและอาหารของไทยที่สร้างความเสี่ยงต่อระบบนิเวศในด้าน Biodiversity สูง
1.กลุ่มสินค้าพืชเกษตร ได้แก่ ข้าวและน้ำตาล เนื่องจากใช้พื้นที่เพาะปลูกมากมีการปล่อยมลพิษในกระบวนการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยว มีการใช้น้ำในการเพาะปลูกค่อนข้างสูง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา Climate change ส่วนมันสำปะหลังผลไม้ และยางพารามีความเสี่ยงอยู่ในเกณฑ์ Medium
2.กลุ่มสินค้าปศุสัตว์ ได้แก่ เนื้อสัตว์แปรรูปและอาหารสัตว์ เนื่องจากใช้พื้นที่เพาะปลูกวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์อย่างข้าวโพดและถั่วเหลืองสูง และสินค้าปศุสัตว์มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในสัดส่วนที่สูงจากกระบวนการหมักในระบบย่อยอาหารของสัตว์
3.กลุ่มสินค้าอาหาร คือน้ำมันพืชเนื่องจากมีการบุกรุกพื้นที่ป่าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา Climate change
ส่วนอาหารแปรรูปอื่นๆและอาหารทะเลแปรรูปมีความเสี่ยงอยู่ในเกณฑ์ Medium


