เจาะเบื้องหลัง "ชายแดนไทย-กัมพูชา" สู่ปฏิบัติการล้างบางแก๊งสแกมเมอร์ข้ามชาติ
เจาะเบื้องหลัง "ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา" สู่ปฏิบัติการล้างบางแก๊งสแกมเมอร์ข้ามชาติ
KEY
POINTS
- กองทัพไทยยกระดับปฏิบัติการสู่ "สงครามไฮบริด" มุ่งเป้าทำลายฐานที่มั่นกลุ่มทุนสีเทาและเครือข่ายสแกมเมอร์ที่แฝงตัวในอาคารพลเรือนกัมพูชา แทนการยึดดินแดนแบบดั้งเดิม
- สหรัฐฯ และจีนสงวนท่าทีคัดค้าน ซึ่งนัยหนึ่งคือการเปิดทางให้ไทยจัดการกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติที่ส่งผลกระทบต่อพลเมืองของทั้งสองประเทศ
- ภาพลักษณ์ "Scambodia" ส่งผลกระทบรุนแรงต่อภาคการท่องเที่ยว เห็นได้ชัดจากการที่ Trip.com ต้องยกเลิกสัญญากับกัมพูชาทันทีหลังถูกกระแสต่อต้านจากผู้บริโภค
สถานการณ์ ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ที่ปะทุขึ้นในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้สร้างความตื่นตระหนกและคำถามมากมายให้กับสาธารณชน ภาพข่าวการปะทะและการตอบโต้ทางทหารอาจทำให้ประชาชนจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่าสถานการณ์ดังกล่าวคือการแย่งชิงดินแดนรูปแบบเดิม
แต่หากพิจารณาลึกลงไปในยุทธวิธีและเป้าหมาย กลับพบว่า "ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา" คือการต่อสู้รูปแบบใหม่ ที่มีเดิมพันเป็นความมั่นคงปลอดภัยจากขบวนการต้มตุ๋นระดับโลก
จากสมรภูมิชายแดน สู่ภารกิจทลายรัง "แก๊งสแกมเมอร์"
สิ่งที่น่าจับตามองที่สุดในปฏิบัติการครั้งนี้ คือการเปลี่ยนเป้าหมายทางยุทธวิธีของกองทัพไทย จากการโจมตีฐานที่มั่นทางทหารของฝ่ายตรงข้าม ไปสู่การทำลายโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นอาคารพลเรือน เช่น กาสิโน โรงแรม และรีสอร์ตหรูในฝั่งกัมพูชา อย่างน้อย 6 แห่ง
รายงานข่าวกรองระบุตรงกันว่า สถานที่เหล่านี้ถูกใช้เป็นฉากหน้าของ แก๊งสแกมเมอร์ และเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ภายในอาคารถูกดัดแปลงเป็นศูนย์บัญชาการรบ ห้องควบคุมโดรน และคลังอาวุธ
กองทัพไทยจึงนิยามปฏิบัติการนี้ว่าเป็น "สงครามไฮบริด" (Hybrid War) ที่มุ่งตัดท่อน้ำเลี้ยงและทำลายฐานปฏิบัติการของกลุ่มมิจฉาชีพ โดยอ้างความชอบธรรมว่าอาคารเหล่านี้ถูกดัดแปลงใช้ในทางทหาร ซึ่งช่วยลดแรงกดดันจากนานาชาติเรื่องการโจมตีเป้าหมายพลเรือน
ท่าที "มหาอำนาจ" สหรัฐฯ-จีน ไม่ได้ห้าม...แถมยังแอบ ‘ให้ไฟเขียว’
ตามปกติแล้ว มหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและจีนมักจะออกมาเรียกร้องให้หยุดยิงทันทีเมื่อเกิด ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา แต่ครั้งนี้กลับเกิดปรากฏการณ์ความเงียบที่ผิดไปจากปกติ
Bloomberg วิเคราะห์ว่า ท่าทีของสหรัฐฯ เปรียบเสมือนการ "ให้ไฟเขียวโดยปริยาย" (Tacit Green Light) เนื่องจากเป้าหมายที่ถูกโจมตีมีความเชื่อมโยงกับ "ตรี เพียบ" (Try Pheap) นายทุนใหญ่ผู้ใกล้ชิดกับ ฮุน เซน ผู้นำกัมพูชา ซึ่งถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรไปก่อนหน้านี้ในข้อหาทุจริตและพัวพันกับเครือข่ายอาชญากรรม
ขณะเดียวกัน จีนก็แสดงจุดยืนสนับสนุนการ ปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ ของไทยอย่างเปิดเผย เพราะชาวจีนตกเป็นเหยื่อรายใหญ่ของขบวนการนี้
การที่ไทยลุกขึ้นมาจัดการกวาดล้างจึงสอดคล้องกับผลประโยชน์ของทั้งสองมหาอำนาจ
'Scambodia' ทุบเศรษฐกิจ พ่นพิษใส่ Trip.com
ผลกระทบจากภาพลักษณ์ด้านลบที่กัมพูชาถูกมองว่าเป็นศูนย์กลางอาชญากรรม หรือ 'Scambodia' ได้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงและรวดเร็ว กรณีศึกษาที่ชัดเจนคือ Trip.com แพลตฟอร์มท่องเที่ยวระดับโลก ที่ต้องประกาศระงับข้อตกลงความร่วมมือกับรัฐบาลกัมพูชา หลังเซ็นสัญญาได้เพียง 16 วัน (1 ธันวาคม 2568)
สาเหตุหลักเกิดจากกระแสต่อต้านของผู้ใช้งานชาวจีนและไทย ที่กังวลเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล จนนำไปสู่การคว่ำบาตรแอปพลิเคชัน สะท้อนให้เห็นว่าความหวาดกลัวต่อ แก๊งสแกมเมอร์ มีอิทธิพลเหนือข้อตกลงทางธุรกิจ และสร้างความเสียหายได้โดยไม่ต้องรอมาตรการจากรัฐ
ในเวทีระหว่างประเทศ ไทยได้แสดงบทบาทนำอย่างแข็งขัน โดยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม "International Conference on The Global Partnership Against Online Scams" ร่วมกับสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีในเวทีนานาชาติ โดยมีผู้แทนจากกว่า 60 ประเทศเข้าร่วม
สะท้อนให้เห็นถึงความตระหนักร่วมกันของประชาคมโลกต่อปัญหานี้ แต่เป็นที่ "น่าเสียดาย" ที่กัมพูชาไม่ได้ส่งผู้แทนเข้าร่วม
เมื่อไร้ซึ่งวี่แววของการปรากฏตัว ส่งผลให้กัมพูชาต้องเผชิญแรงกดดันทางการทูตอย่างหนัก และยิ่งซ้ำเติมภาพลักษณ์ของกัมพูชาในเวทีโลกให้ติดลบลงไปอีก
จีนเหยียบเรือสองแคม สมรภูมิชายแดนไทย-กัมพูชา
จีนดำเนินนโยบายที่ซับซ้อนในวิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชา ในด้านหนึ่ง จีนคือผู้สนับสนุนหลักในการปราบปรามเครือข่ายสแกมเมอร์อย่างแข็งขัน
การเดินทางเยือนไทยของนายหลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจน โดยเขากล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า
รัฐบาลกัมพูชามีความเชื่อมโยงและมีผลประโยชน์ร่วมกับขบวนการสแกมเมอร์ ซึ่งเป็นการตอกย้ำจุดยืนของจีนที่ต้องการกวาดล้างอาชญากรรมไซเบอร์อย่างจริงจัง
แต่อีกด้านหนึ่ง จีนก็พยายามเข้ามามีบทบาทในฐานะผู้ไกล่เกลี่ยทางการทูต โดยนายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน ได้ต่อสายตรงถึงรัฐมนตรีต่างประเทศไทยและกัมพูชาเพื่อเรียกร้องให้มีการหยุดยิงและลดความตึงเครียด พร้อมเสนอตัวเป็น "สะพานเชื่อม" เพื่อฟื้นฟูสันติภาพระหว่างสองประเทศ
บทบาทสองด้านของจีนคือการดำเนินกลยุทธ์แบบสมดุลที่ผ่านการคำนวณมาอย่างดี จีนต้องการปฏิบัติการทางทหารของไทยเพื่อกำจัดเครือข่ายสแกมเมอร์ที่สร้างความเสียหายใหญ่หลวงต่อพลเมืองจีน
แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อาจยอมให้เกิดสงครามเต็มรูปแบบในภูมิภาคที่จะเป็นภัยต่อการลงทุน บุคลากร และเสถียรภาพทางภูมิรัฐศาสตร์ในภาพรวมของตนเองได้
ยุทธศาสตร์พลิกเกมของไทย จาก ‘ผู้รุกราน’ สู่ ‘ผู้พิทักษ์ด่านหน้าของโลก’
ในสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อน กองทัพไทยยกระดับการทำสงครามข้อมูลข่าวสารได้อย่างน่าสนใจ ด้วยการปรับวิธีนำเสนอเรื่องราว (Narrative) ต่อสายตาชาวโลกได้อย่างมีชั้นเชิง
แทนที่จะปล่อยให้สังคมโลกมองไทยเป็นผู้รุกรานในข้อพิพาทชายแดน กองทัพกลับเลือกสื่อสารยุทธศาสตร์ใหม่อย่างชัดเจน ผ่านแถลงการณ์โดยนิยามว่า
"Scam Army = Global Threat, Thailand = Frontline Defender" หรือ กองทัพสแกมเมอร์ = ภัยคุกคามระดับโลก, ประเทศไทย = แนวหน้าผู้พิทักษ์
การวางกรอบ (Framing) เช่นนี้ถือเป็นการพลิกเกมที่ชาญฉลาด เพราะช่วยเปลี่ยนภาพลักษณ์จากคู่ขัดแย้งในสงครามชายแดน ให้กลายเป็นตัวแทนประชาคมโลกที่กำลังต่อสู้กับอาชญากรรมข้ามชาติ
ยุทธศาสตร์นี้ช่วยลดแรงกดดันทางการทูตได้อย่างมีประสิทธิภาพ สะท้อนจากท่าทีที่สงบทีเดียวของทั้งสหรัฐฯ และจีน
บทสรุปของ ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ จึงไม่ใช่เรื่องของพรมแดนอีกต่อไป แต่เป็นกรณีศึกษาของการทำสงครามยุคใหม่ที่ใช้ความชอบธรรมในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ เป็นเครื่องมือหลักในการดำเนินนโยบายความมั่นคง


