‘เดอะ ซีนเนอรี่’ จากแปลงหอม สู่แลนมาร์กสวนผึ้ง สร้างรายได้ 80 ล้าน
คุยกับ ‘ดวงกมล ชุติมันต์’ ผู้บริหาร เดอะ ซีนเนอรี่ วินเทจฟาร์ม เล่าความหลังปลูกหอมในสวนผึ้ง สู่ที่พักบ้านปูนปั้น และฟาร์มแกะ สร้างรายได้ปีละ 80 ล้านบาท
KEY
POINTS
- คุยกับ ‘ดวงกมล ชุติมันต์’ ผู้บริหาร เดอะ ซีนเนอรี่ วินเทจ ฟาร์ม เล่าความหลังเมื่อ 20 ปีก่อน เริ่มปลูกหอมในสวนผึ้ง
- สร้างอาณาจักรที่พักบ้านปูนปั้น และฟาร์มแกะ ดึงลูกค้ามีกำลังซื้อ สร้างรายได้ปีละ 80 ล้านบาท
- เตรียมขยายตลาดเอเชีย ลุยแบรนด์ใหม่ โมเดลเดียวกัน
ย้อนเวลากลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน “สวนผึ้ง ราชบุรี” ยังไม่ใช่จุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวมากเหมือนดั่งเช่นทุกวันนี้ นั่นเป็นช่วงเวลาพอดีกับที่ “ดวงกมล ชุติมันต์” และแฟนหนุ่ม “พลกฤช สุขเกษม” ซึ่งปัจจุบันเป็นคู่ชีวิตกัน เริ่มมีความชอบและหลงใหลในธรรมชาติ เมื่อครั้งที่เขามาเยี่ยมญาติ ที่อำเภอสวนผึ้ง จ.ราชบุรี
ดวงกมล เล่าว่า คุณพลกฤชได้เห็นแปลงต้นหอมอยู่กลางป่าที่มีลำธารธรรมชาติไหลผ่าน จึงรู้สึกชื่นชอบมาก จึงไปขอแบ่งซื้อพื้นที่ราว ๆ 7 ไร่ตรงนั้นมา แล้วก็เริ่มปลูกต้นหอมร่วมกับเจ้าของที่เดิม ด้วยความตั้งใจอยากจะเป็นเกษตรกร แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ง่าย เพราะรอบแรกปลูกต้นหอมได้ผลดี รายได้งาม แต่รอบถัด ๆ มากลับขาดทุนซ้ำ ๆ จนถึงขั้นเสียหายเป็นแสนๆ
“พอปลูกไปเรื่อย ๆ ก็รู้ว่าดินไม่ดี น้ำไม่เหมาะ เราเองก็ไม่ได้อยู่ดูแลตลอด ให้คนอื่นทำแทน พอไม่มีความรู้จริงก็ทำไม่รอด เลยตัดสินใจเลิกปลูก แล้วหันมาสร้างบ้านสำหรับอยู่อาศัยแทน”
ตอนนั้นพวกเขาทั้งสองอายุเพียง 20 ต้น ๆ มีเงินเก็บจากการทำงานบ้างเล็กน้อย มาสร้างบ้านเล็ก ๆ บนพื้นที่ที่ซื้อไว้ โดยให้ช่างท้องถิ่นเป็นคนลงมือ แต่เพราะไม่มีพื้นฐานด้านสถาปัตย์หรือวิศวกรรม ทุกอย่างจึงเป็นไปแบบลองผิดลองถูก
“สร้างบ้านเสร็จได้ไม่นาน ก็เริ่มเห็นรอยร้าวไปทั่วทั้งหลัง” ดวงกมลย้อนเล่าถึงประสบการณ์ในวันแรกของการเริ่มต้นชีวิตที่สวนผึ้ง
“เพราะไม่ได้ลงฟุตติ้ง ไม่ได้ทำฐานรากอะไรเลย ดินก็ยวบ บ้านก็พัง น้ำหนักตัวบ้านเยอะ พื้นเลยทรุดตัวลงเรื่อย ๆ แต่เราก็ยังอยากอยู่ตรงนี้ เลยคิดสร้างใหม่เป็นบ้านดิน ตอนนั้นกำลังฮิตพอดี”
ดวงกมลเล่าต่อว่า คุณพลกฤช แม้ไม่ได้เรียนสถาปัตย์ แต่มีใจรักการออกแบบ ก็เริ่มร่างแปลนบ้านด้วยการใช้ไม้เขี่ยบนดิน ว่าอยากได้ห้องนั่งเล่นตรงไหน แล้วค่อย ๆ ก่อสร้างขึ้นมาทีละส่วน ถ้าไม่ชอบก็ค่อยรื้อแล้วเริ่มใหม่
เมื่อบ้านเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ทั้งคู่เริ่มแวะมาพักในช่วงเสาร์-อาทิตย์ เพื่อนฝูงที่ตามมาก็หลงใหลในบรรยากาศธรรมชาติ ป่าเขา จึงเกิดการพัฒนาบ้าน ดีไซน์สไตล์เมดิเตอร์เรเนียนของบ้านปูนสีขาวสะอาดตา ที่ตัดกับความเขียวชอุ่มของสวนผึ้งได้อย่างลงตัว
“เราชอบบ้านสีขาว เพราะมันสะอาด แล้วก็ไม่ชอบจิ้งจก (หัวเราะ) บ้านไม้แบบเดิม ๆ ในสวนผึ้งมันชื้นมาก เจอจิ้งจกตุ๊กแกเยอะ พอเป็นปูนสีขาวมันดูน่าอยู่กว่า แล้วเพื่อน ๆ ก็ชอบกันมาก พากันมาพักบ่อย จนบางทียังไม่มีที่นอน ต้องไปนอนในรถเองก็มี”
สร้างจุดต่าง ในวันที่สวนผึ้งเริ่มบูม
จากบ้านพักหลังแรก ๆ เธอเริ่มสร้างเพิ่มอีก 3 หลัง เป็นบ้านพักสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนทั้งหมด เริ่มทำเป็นธุรกิจอย่างจริงจัง เป้าหมายรับนักท่องเที่ยวคู่รัก พร้อมใส่บริการแบบโรงแรมเข้าไป บวกกับการรับลูกค้าด้วยตัวเอง ทำให้ได้รับกระแส ตอบรับที่ดีมากจนต้องจองที่พักล่วงหน้าถึง 6 เดือน
หลังจากเปิดบ้านพักในสวนผึ้งไปได้สักพัก ทั้งคู่เริ่มรู้สึกว่าการมีแค่ที่พักอย่างเดียว “แห้งไปนิด” ขาดชีวิตชีวา ขณะเดียวกันสวนผึ้งก็เริ่มได้รับความนิยม ที่พักแนวเดียวกันเริ่มทยอยเปิดตัวตามมาเรื่อย ๆ
เก็บบรรยากาศชนบทในต่างแดนมาไว้ในไทย
เราคิดถึงบรรยากาศชนบทต่างประเทศ ก่อนจะไปเจอกับคนเลี้ยงแกะ และขอซื้อมา 2 ตัวมาเลี้ยง อาบน้ำ แต่งขนให้ดูน่ารัก จนแขกที่มาพักเริ่มแวะมาถ่ายรูป ดูแกะ จอดรถปิกนิกกันริมรั้ว ซึ่งถ้าย้อนไปสมัยก่อนการเลี้ยงแกะยังเป็นเรื่องใหม่มาก
ฟาร์มแกะเจ้าแรก ๆ
จากนั้นทั้งคู่เริ่มนำสัตว์อื่น ๆ อย่างกระต่าย ม้า และช้างเข้ามาเสริม แต่ก็ไปต่อไม่ได้ เพราะกระต่ายขวัญอ่อน ส่วนช้างต้นทุนดูแลสูงเกินไป สุดท้ายลือกโฟกัสที่แกะ อย่างจริงจัง จึงเกิดฟาร์มแกะขึ้นมา พัฒนาฟาร์มให้ได้มาตรฐาน มีสัตวบาลประจำ จนกลายเป็นฟาร์มแกะปลอดโรคแห่งแรกของภาคตะวันตกเฉียงใต้
แต่เมื่อเวลาผ่านไปสวนผึ้งเริ่มโด่งดัง ฟาร์มแกะเริ่มมีมากขึ้น ทั้งคู่จึงเดินทางไปอังกฤษและนิวซีแลนด์ นำโชว์ สุนัขต้อนแกะ และผู้ฝึกสอนมืออาชีพเข้ามา พร้อมพัฒนาโชว์ใหม่ ๆ กลายเป็นซิกเนเจอร์ ที่ทำให้ซีนเนอรี่แตกต่าง จน ณ ปัจจุบันมีสิ่งมีชีวิตรวมกันแล้วกว่า 400 ชีวิต ซึ่งในจำนวนนี้เป็นแกะ 300 ชีวิต
สร้างรายได้ 80 ล้านบาท
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาซีนเนอรี่ขยายพื้นที่มาเรื่อย ๆ จนมี 37 ไร่ พร้อมวิลล่าที่พัก 10 หลัง เพิ่มรูทท่องเที่ยว มีธุรกิจร้านอาหารและคาเฟ่ มี กิจกรรมผจญภัยและครอบครัว มีบริการขับรถ ATV ผ่านเส้นทางธรรมชาติที่ท้าทายและปลอดภัย
ส่วนรายได้หลักของซีนเนอรี่ มาจากกิจกรรมท่องเที่ยวบริเวณด้านหน้าฟาร์ม ไม่ว่าจะเป็นค่าบัตรเข้าชมฟาร์มสัตว์ กิจกรรมเล่นเกม และกิจกรรมเชิงครอบครัวอื่น ๆ
ดวงกมลเล่าเพิ่มเติมว่า ในช่วงโลว์ซีซั่นจะมีนักท่องเที่ยวราว 100 คนต่อวัน ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์เพิ่มขึ้นเป็น 600-1,000 คน และในช่วงพีคที่สุด เคยมีผู้เข้าชมสูงสุดถึงวันละ 10,000 คน ขณะที่รายได้รองลงมามาจากร้านอาหาร และบริการห้องพักภายในฟาร์ม
ตลอด 3 ปีหลังจากโควิด เดอะ ซีนเนอรี่เติบโตเฉลี่ยปีละ 10-15% จากทุกธุรกิจรวมกัน ทำให้ปัจจุบันมีรายได้รวมราวปีละ 80 ล้านบาท โดยเฉพาะธุรกิจบ้านพักที่มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยตลอดปีสูงถึง 80% และพุ่งแตะ 99% ในช่วงไฮซีซั่น
ทุกยูนิตสามารถทำกำไร แม้จะเป็นช่วงโลว์ซีซั่นก็ตาม ทำให้มีรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง อาจเป็นเพราะซีนเนอรี่พยายามเจาะกลุ่มลูกค้ากลุ่ม A และ B+ ซึ่งหมายถึงลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง แรก ๆ เน้นคู่รัก ต่อมาเริ่มขยายสู่ครอบครัวมากขึ้น โดยยังคงเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทยถึง 90%
ทั้งนี้ เมื่อถามว่า ทำไมไม่รับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ดวงกมล บอกว่า ด้วยข้อจำกัดด้านการเดินทาง ที่ต้องใช้รถส่วนตัว เพราะไม่มีรถสาธารณะเชื่อมต่อ จึงทำให้ผู้มาเที่ยวส่วนใหญ่เป็นคนไทย แต่ก็ตั้งเป้าหมายไว้ว่า ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า จะขยายฐานลูกค้าต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจากตลาดเอเชียให้เพิ่มมากขึ้น
มีแผนขยายกิจการอีกมาก
“เรายังมีแผนจะพัฒนาอีกหลายอย่าง” ดวงกมลเผย โดยมี SME D Bank เข้ามาช่วยสนับสนุนสินเชื่อเพื่อขับเคลื่อนโปรเจกต์ต่าง ๆ ที่วางไว้ เช่น การขยายโรงแรมเฟส 2 ในรูปแบบที่พัก 16 ห้อง ซึ่งตั้งใจไม่สร้างบ้านพักเพิ่มมากนัก เพื่อคงบรรยากาศความเป็นส่วนตัวของลูกค้าไว้ให้มากที่สุด
นอกจากนี้ ยังมีการจัดสรรพื้นที่จากที่ดิน 123 ไร่ ซึ่งแต่เดิมใช้ปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์กว่า 400 ตัวในฟาร์ม มาพัฒนาเป็นโครงการขายที่ดินสำหรับลูกค้าที่ต้องการสร้างบ้านพัก โดยเดอะ ซีนเนอรี่จะให้บริการซัพพอร์ตแบบครบวงจร ทั้งโชว์ส่วนตัว ATV พนักงานบริการ หรือแม้แต่รับบริหารบ้านพักในกรณีที่ลูกค้าต้องการปล่อยเช่า เพิ่มโอกาสเติบโตแบบยั่งยืนให้กับทั้งธุรกิจและลูกค้าไปพร้อมกัน
ขยายกิจการแยกแบรนด์ แต่ยังคงกลิ่นอาย ‘ซีนเนอรี่’
นอกจากนี้ยังมีแผนพัฒนาธุรกิจในรูปแบบที่คล้ายคลึงกันอีกหลายโครงการ แต่จะแยกเป็นแบรนด์ต่างหาก เพื่อไม่ให้ลูกค้ารู้สึกติดแบรนด์หรือคาดหวังอะไรจนเกินไป อย่างไรก็ดี แม้จะเป็นแบรนด์คนละชื่อ แต่จะยังคงกลิ่นอายความเป็น ‘ซีนเนอรี่’ อยู่
เช่นตอนนี้กำลังขยายไปยังพื้นที่ใหม่อย่าง 'Akha Farmville' ที่อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย โดยนำโมเดลซีนเนอรี่ ที่สวนผึ้งมาเป็นต้นแบบ แต่พัฒนาบนต้นทุนที่ต่ำลงและใช้แรงงานน้อยลง อีกทั้งเตรียมเปิด 'ฟาร์มกวาง' ใกล้ดอยช้าง เพื่อสร้างแลนด์มาร์กท่องเที่ยวแห่งใหม่ในอนาคตอันใกล้
บทเรียนธุรกิจ ฉบับซีนเนอรี่
ดวงกมล กล่าวว่า ตลอดเส้นทางเผชิญความท้าทายหลายอย่าง อย่างแรกคือบุคลากร เนื่องจากพื้นที่ราชบุรีไกลจากกรุงเทพฯ ไม่มีห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อน้อยและอยู่ไกล ไม่มีแสงสีแหล่งเอ็นเตอร์เทนเมนต์ ดังนั้นคนที่อยากมาอยู่สถานที่แบบนี้ ค่อนข้าง หายาก ทำให้ช่วงแรกพนักงานหมุนเวียนเข้าออกเยอะ หาคนที่จะมาอยู่ประจำยาก ดังนั้นจึงเปิดรับคนท้องถิ่นเข้ามาทำงาน และเราเข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิด
บทเรียนที่สองคือ ซีนเนอรี่ เคยมีเหตุการณ์ไฟไหม้ที่ร้านอาหารเพราะไฟฟ้าลัดวงจรบวกกับมีลมหมุนในสวนผึ้งเมื่อ 10 ปีที่แล้ว สิ่งที่น่าเสียใจคือตอนนั้นเราไม่ได้ทำประกันภัย ทั้ง ๆ ที่ตนเองทำงานประกันภัย ทำให้เสียหายค่อนข้างมาก แต่ก็เป็นบทเรียน ทำให้หลังจากนั้นเราทำประกันภัยในทุกส่วน
และในช่วงโควิดเรายังเจอไฟไหม้โรงโชว์ใหญ่ที่ไม่ได้ใช้งานจากไฟฟ้าลัดวงจรอีกเช่นกัน แม้จะเจอวิกฤติไฟไหม้ซ้อนวิกฤติโควิด แต่ ซีนเนอรี่ สามารถเปลี่ยนวิกฤตินั้นให้เป็นช่วงเวลาซุ่มเติมสรรพกำลังใหม่ ทั้งรื้อระบบสาธารณูปโภคและปรับพื้นที่ใหม่ทั้งหมดเพื่อมั่นใจว่าเมื่อถึงเวลาที่ธุรกิจกลับมาเปิดอีกครั้ง ซีนเนอรี่ จะพร้อมที่สุด
เราต้องพร้อมวิ่งให้เร็วกว่าคนอื่นเมื่อถึงเวลาที่เปิด เพราะทุกคนจะเริ่มวิ่งพร้อมกันหมด แต่คำถามคือ เราจะทำอย่างไรให้เรา “วิ่งเร็วกว่าคนอื่น” ได้?
ข้อเสียอย่างหนึ่งของการไม่ได้เรียนบริหารธุรกิจโดยตรง คือ เราต้องลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง ซึ่งอาจใช้เวลานานกว่าคนที่มีประสบการณ์ทำงานจริงจัง แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความเข้าใจและการพัฒนาที่ต่อเนื่อง
“จริงๆ แล้ว มีเรื่องในบ้านและฟาร์มที่สามารถพัฒนาได้มากกว่านี้ตั้งนานแล้ว แต่บางทีเรายังรู้สึกว่า ‘ยังไม่ถูกใจ’ จึงยังไม่ลงมือทำทันที”
หลักการบริหารธุรกิจไม่มีแพทเทิร์นตายตัว ทุกอย่างสามารถพัฒนาและทำให้ดีขึ้นได้เสมอ บางวันเรารู้สึกว่าระบบหรือการทำงานมันดีแล้ว แต่พอวันรุ่งขึ้นกลับเห็นว่ามีอะไรที่ยังปรับปรุงให้ดีขึ้นได้อีก เราพยายามสื่อสารกับพนักงานเสมอว่า “สิ่งที่เราทำวันนี้ ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย” ถ้าเห็นว่าอะไรควรเปลี่ยนก็ต้องพูดคุยและเปลี่ยนได้ทันที
ข้อดีอย่างหนึ่งของการเป็นธุรกิจครอบครัว คือไม่ต้องรอขั้นตอนหรือสายงานยาวนาน สามารถตัดสินใจและปรับเปลี่ยนได้รวดเร็วและคล่องตัว
ที่มาภาพบางส่วน : The Scenery Vintage Farm


