ธุรกิจยังไม่ฟื้นตัว เช็ก 3 สัญญาณเตือน SME เสี่ยงสะดุดทางการเงิน
ธุรกิจไทยยังฟื้นไม่เต็มที่ โดยเฉพาะ SME เช็ก 3 สัญญาณเตือนกำลังอยู่ในภาวะเสี่ยงทางการเงินก่อนจะกลายเป็น NPL โดยไม่รู้ตัว
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ภาคธุรกิจไทยต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 มาจนถึงสงครามการค้าตอนนี้
แม้บางปัจจัยจะคลี่คลายลงแล้ว แต่การฟื้นตัวของภาคธุรกิจโดยรวมยังไม่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการชำระหนี้ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งถือเป็นกลุ่มเปราะบาง พยายามดิ้นรนหาทางรอดในทุกทาง รวมถึงการก่อหนี้เพิ่ม หวังประคองธุรกิจให้ผ่านพ้นวิกฤติ แต่หลายครั้งกลับไม่ทันรู้ตัวว่า กำลังเข้าสู่ภาวะ “เสี่ยง”
จากรายงานของ SME D BANK และหอการค้าไทย ระบุว่าสัญญาณสำคัญที่บ่งชี้ว่า ธุรกิจกำลังอยู่ในภาวะเสี่ยงทางการเงิน ได้แก่
- รายได้น้อยกว่ารายจ่าย นี่คือสัญญาณแรกที่บ่งบอกว่า ธุรกิจอาจจะประสบปัญหาทางการเงินในไม่ช้า
- ขาดสภาพคล่องทางการเงิน หรือหมุนเงินไม่ทัน
- การชำระหนี้เริ่มล่าช้า ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด เป็นสัญญาณสุดท้ายที่ชัดเจนว่า ธุรกิจกำลังประสบปัญหาด้านการเงิน
สาเหตุเกิดความเสี่ยงทางการเงิน
การติดตามสัญญาณเหล่านี้อย่างใกล้ชิด จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถประเมินสถานการณ์ธุรกิจได้อย่างทันท่วงที โดยปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงเหล่านี้ อาจมาจากทั้งภายในและภายนอกองค์กร เช่น
- การบริหารจัดการภายใน อาจจะเป็นความขัดแย้งระหว่างผู้บริหาร การขาดระบบการวางแผนที่ดี ซึ่งจะทำให้ธุรกิจขาดความมั่นคง
- การพึ่งพาช่องทางการขายที่จำกัด ทำให้ธุรกิจมีความเสี่ยงสูง
- การใช้เงินไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ การใช้เงินกู้หมุนเวียนมาลงทุนในสินทรัพย์ถาวร หรือการใช้เงินทุนผิดประเภท เป็นปัญหาที่พบเจอได้บ่อย
- ภาวะเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ ย่อมส่งผลต่อธุรกิจได้
- คู่แข่งขัน การปรับตัวของคู่แข่งในตลาด การลดต้นทุนหรือราคาสินค้า ทำให้ธุรกิจต้องปรับตัวตาม
- การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการค้า เช่น ลูกหนี้การค้าที่ขอขยายระยะเวลาการชำระหนี้ หรือการเปลี่ยนจากเครดิตเป็นการชำระเงินสด ซึ่งส่งผลต่อสภาพคล่องของกิจการ
เร่งปรับโครงสร้างหนี้ ก่อนกลายเป็น NPL
นอกจากนี้ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้ว่า ยอดการปรับโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ธุรกิจยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 จนถึงต้นปี 2567 สะท้อนถึงความพยายามของภาคธุรกิจในการรักษาสถานะทางการเงินไม่ให้กลายเป็นหนี้เสีย (NPL)
โดยในไตรมาสแรกของปี 2567 (Q1/67) กลุ่มที่ขอปรับโครงสร้างหนี้มากที่สุด คือ ธุรกิจ SMEs ขนาดเล็กที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 500 ล้านบาท โดยเฉพาะธุรกิจในกลุ่มการค้า (ค้าส่ง-ค้าปลีก) และบริการ เช่น ร้านอาหาร โรงแรม และสถานพยาบาล ซึ่งยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่จากผลกระทบโควิด-19 และต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น ทั้งค่าวัตถุดิบ เงินเฟ้อ และค่าจ้างแรงงาน
ลักษณะทั่วไปของธุรกิจที่ขอปรับโครงสร้างหนี้ มักมีสถานะการเงินอ่อนแอ ได้แก่ กระแสเงินสดติดลบ อัตราส่วนกำไรสุทธิต่อรายได้ (Net Profit Margin) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มอุตสาหกรรม และอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) สูง แสดงถึงภาระหนี้ที่กดดันอย่างชัดเจน หากไม่มีมาตรการรองรับหรือการฟื้นตัวที่เป็นรูปธรรม มีความเสี่ยงสูงที่จะกลายเป็น NPL
วางแผนรับมือ ปรับหนี้อย่างเป็นระบบ
เมื่อธุรกิจเริ่มประสบปัญหาสภาพคล่อง สิ่งสำคัญอันดับแรกคือการไม่เพิกเฉย โดยเฉพาะหากมีภาระสินเชื่อจากสถาบันการเงินอยู่แล้ว ต้องรีบเข้าพบเจ้าหนี้เพื่อหารือแนวทางปรับโครงสร้างหนี้ เช่น ขยายระยะเวลาชำระ ลดค่างวด หรือเปลี่ยนแผนการชำระให้สอดคล้องกับรายรับในปัจจุบัน
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่งคือ การกู้หนี้นอกระบบ เพราะแม้จะได้เงินไว แต่ดอกเบี้ยสูงเกินควบคุม และอาจทำให้ปัญหาทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น การปรับโครงสร้างหนี้อย่างเหมาะสมจะช่วยให้ ลดภาระผ่อนชำระ ให้สอดคล้องกับรายได้ที่แท้จริง เพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจเดินหน้าต่อได้ฟื้นฟูสถานะทางการเงิน และอาจเปิดโอกาสในการขอสินเชื่อเพิ่มเติมเพื่อขยายกิจการ
ที่มาข้อมูล : https://dx.smebank.co.th/content.html?id=135


