ผลสำรวจพบ 40% ของ SME ไทยเริ่มนำ AI มาใช้ ถึงเวลาธุรกิจเร่งปรับตัว
AI-ระบบอัตโนมัติ เทรนด์โลกที่มองข้ามไม่ได้ ธุรกิจใหญ่เดินหน้าใช้งานเต็มรูปแบบ ซัพพลายเชน SME ต้องเร่งปรับตัว หากหวังอยู่รอดอย่างยั่งยืน ขณะผลสำรวจชี้ผู้ประกอบการไทยราว 40% เริ่มใช้แล้ว
จากงานเสวนา “Supply Chain Futureprenuer ปลดล็อกพลังเอไอ ขับเคลื่อนอนาคตธุรกิจยั่งยืน” ที่จัดขึ้นโดยธนาคารไทยพาณิชย์ เมื่อไม่นานผ่านมา ภาครัฐ - เอกชน ได้สะท้อนมุมมอง ถึงอนาคตการทำธุรกิจรูปแบบใหม่แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยเฉพาะในการนำ AI เข้ามาปรับใช้ ซึ่งจะเป็นทางรอดของธุรกิจในอนาคต
AI และคาร์บอนเครดิต สองเทรนด์โลกเคลื่อนธุรกิจ
นางสาวกนกวรรณ ใจศรี ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Business Banking I ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า AI และคาร์บอนเครดิต เป็นสองเทรนด์โลก ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ให้ความสำคัญในการสนับสนุนลูกค้าเอสเอ็มอีให้เร่งนำ AI มาใช้ และลดการปล่อยคาร์บอน โดยเฉพาะในกลุ่มซัพพลายเชน
เนื่องจากปัจจุบัน ธุรกิจขนาดใหญ่ได้เริ่มนำ AI มาปรับใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพ พร้อมกับการเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาด เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ดังนั้น เอสเอ็มอี จึงต้องเร่งตัวตามเทรนด์ดังกล่าว เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดอย่างยั่งยืนและมั่นคงในอนาคต
“ทุกวันนี้ AI และคาร์บอนเครดิตอยู่ในทุกอณูของการดำเนินชีวิตรวมถึงการดำเนินธุรกิจ เอสเอ็มอีจึงต้องปรับตัว โดยธนาคารมีเป้าหมายที่จะสนับสนุนลูกค้าเอสเอ็มอีสู่ความยั่งยืน ผ่านการให้คำปรึกษา เชื่อมโยงเครือข่ายพันธมิตรให้ความรู้ผ่านการเสวนา และสนับสนุนสินเชื่อธุรกิจ”
เอสเอ็มอีรู้ความสำคัญ AI แต่แรงงานไม่พร้อม
ด้าน ดร.ปุณยวัจน์ ศรีสิงห์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) กล่าวว่า SCB EIC มองการประยุกต์ใช้ AI ในภาคธุรกิจจะสามารถช่วยยกระดับการผลิตและเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ได้อย่างมาก ซึ่งปัจจุบันเอสเอ็มอีไทยเริ่มเล็งเห็นถึงความสำคัญในการนำ AI มาใช้ แต่ยังขาดความพร้อมด้านแรงงาน โดยเฉพาะบริษัทขนาดเล็ก
ทั้งนี้จากผลสำรวจของ SCB EIC ในปี 2024 ธุรกิจเอสเอ็มอีไทยที่นำ AI มาใช้งานแล้ว มีเพียง 40.4% อย่างไรก็ตาม นับเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ผลการศึกษาชี้ว่า เอสเอ็มอีไทย มีแผนที่จะลงทุนใน AI โดยมุ่งไปที่เพิ่มทักษะและความรู้ให้กับพนักงาน รองลงมาคือการซื้อ Generative AI มาใช้ภายในบริษัท
ในขณะที่เอสเอ็มอียังคงต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐ ทั้งในเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล ด้านกฎหมาย ด้านทักษะแรงงาน และโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและเทคโนโลยี
นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า เงินบาทช่วงที่ผ่านมาถูกกระทบจากหลายปัจจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยความเสี่ยงมาตรการภาษีนำเข้า (Tariffs) อาจทำให้เงินบาทผันผวนสูงในระยะสั้นนี้ เป็นความเสี่ยงแก่ผู้ประกอบการธุรกิจนำเข้าและส่งออก ผู้ประกอบการจึงควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อบริหารความเสี่ยงจากค่าเงิน อาทิ การทำธุรกรรมซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (FX Forward) และประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (FX Option)
นอกจากนี้ เอสเอ็มอี อาจพิจารณาทำธุรกรรมเงินสกุลท้องถิ่น (Local Currency) เพื่อกระจายความเสี่ยงได้อีกด้วย
AI มาถูกเวลา ช่วยเอสเอ็มอี รักษาผลิตภาพธุรกิจ
ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa)กล่าวว่า AI เป็นเทคโนโลยีที่มาในช่วงเวลาที่เหมาะสม ถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับ SME ในการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจ
ทั้งนี้ สิ่งสำคัญคือการเร่งพัฒนาบุคลากรให้พร้อมรองรับการปรับใช้เทคโนโลยีโดยแนวโน้ม AI ที่กำลังมาแรง ได้แก่ AI Agent และ Generative AI ซึ่งทำหน้าที่เสมือนพนักงานที่สามารถช่วยองค์กรทำงานได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เช่น การเขียนโค้ด พัฒนาโปรแกรม และวิเคราะห์ข้อมูลการขาย เป็นต้น
AI กินข้อมูลเป็นอาหาร ผู้ประกอบการต้องตระหนักความปลอดภัยข้อมูล
ดร.ชินาวุธ แนะว่า ก่อนที่ผู้ประกอบการจะนำ AI มาใช้ในการดำเนินธุรกิจ ควรพิจารณาว่าฟังก์ชันงานใดที่ AI สามารถทดแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านความปลอดภัยของข้อมูลและการจัดการข้อมูลผ่านระบบดิจิทัล เนื่องจาก AI “กินข้อมูลเป็นอาหาร” หรืออาศัยข้อมูลในการประมวลผล ฉะนั้นความแม่นยำของ AI จึงขึ้นอยู่กับคุณภาพของข้อมูลที่ใช้เป็นอาหารของ AI ด้วย
“depa พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการให้เพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจด้วย AI ผ่านมาตรการสนับสนุนทางการเงินและบัญชีบริการดิจิทัล ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมสินค้าและบริการเทคโนโลยีมาตรฐาน โดยบริษัทที่ขึ้นทะเบียนในบัญชีนี้จะได้รับสิทธิประโยชน์ด้านการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ และผู้ใช้บริการยังสามารถได้รับสิทธิ์ลดหย่อนภาษีอีกด้วย”
เอกชนประสานเสียง AI ลดการสูญเสียแก่ธุรกิจ
นายสุรพงษ์ สาเรชพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีพีเอส เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การนำ AI มาใช้ในระบบปฏิบัติการของโรงงาน หรือ องค์กรธุรกิจ ถือเป็นแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจ และทรานสฟอร์มเป็นธุรกิจอัจฉริยะ (Smart Factory) เพื่อช่วยในการมอนิเตอร์และควบคุมการทำงานจากศูนย์กลาง ลดการพึ่งพาแรงงานมนุษย์ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ อีกทั้งยังช่วยลดความสูญเสียที่อาจเกิดจากอุบัติเหตุต่าง ๆ ได้อีกด้วย
“AI สามารถเก็บข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและทันเวลา ไม่ว่าจะเป็นระบบน้ำ อุณหภูมิ ความเย็น หรือฝุ่นละอองในอากาศ จากนั้นจะทำการวิเคราะห์ข้อมูล และหากพบความผิดปกติ ระบบจะส่งสัญญาณเตือนทันที นอกจากนี้ AI ยังสามารถเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบตรวจสอบคุณภาพน้ำเสีย ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการได้อย่างมาก”
นายภัทร จ้อยประดิษฐ์ Head of AI บริษัทโซโลมอน เทคโนโลยี ไทยแลนด์ จำกัด กล่าวว่า ข้อดีของ AI คือ การลดความผิดพลาด และมีมาตรฐาน เพราะไม่มีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่AI เปรียบเหมือนเด็ก ที่ต้องสอนและป้อนข้อมูลที่ดี การประมวลผลจึงจะถูกต้อง
“AI มีหลากหลาย ทั้ง Deep Learning, Robot AI และ Vision AI ตัวอย่าง Vision AI ซึ่งเป็นปัญญาประดิษฐ์แขนงหนึ่งที่ใช้ร่วมกับเครื่องมือ ทำหน้าที่แทนดวงตามนุษย์ เช่น การส่องความผิดปกติของเซลล์ ลดการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ โดยในปัจจุบันซอฟท์แวร์เหล่านี้ใช้ง่ายได้ง่ายขึ้น ไม่จำเป็นต้องเป็นซอฟท์แวร์ด้านเอ็นจิเนียริ่งเท่านั้น”
ทั้งหมดนี้ คือแนวทางการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดอย่างยั่งยืนของเอสเอ็มอี สร้างโอกาสทางธุรกิจด้วยพลัง AI โดยมีจุดเริ่มต้นจากการปรับกรอบความคิดของผู้ประกอบการ ปรับทักษะบุคลากรควบคู่กับการลงทุน และการใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มและซอฟท์แวร์ด้าน AI จากผู้เชี่ยวชาญ และที่ปรึกษาจากหน่วยงานภาครัฐและสถาบันการเงินที่พร้อมให้การสนับสนุนเงินทุน


