posttoday

สงครามภาษีเขย่าเศรษฐกิจไทย ฉุดรายได้ส่งออก SMEs รวม 3.8 หมื่นล้าน

06 พฤษภาคม 2568

สงครามภาษีเขย่าเศรษฐกิจไทย มาแบบ “Slow Burn” แต่สร้างแผลเป็นระยะยาว โดยเฉพาะ SMEs เกือบ 5 พันราย รับผลกระทบตรง เสี่ยงสูญรายได้ส่งออก 3.8 หมื่นล้าน

จากความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าโลกและความเสี่ยงที่ทวีความรุนแรง กฤษฏิ์ ศรีปราชญ์ นักวิเคราะห์ Krungthai COMPASS ได้ประเมินผลกระทบจากสงครามการค้าต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ไว้ใน 2 สถานการณ์หลัก

 

สถานการณ์ที่ 1 :  ไทยถูกเก็บภาษี 10% (Universal tariff) ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ปี 2568 หลังเลื่อนการขึ้นภาษีเต็มรูปแบบออกไป 90 วัน 

 

โดยในช่วงครึ่งปีหลัง การเจรจากับสหรัฐฯ ประสบผลสำเร็จ ทำให้ภาษีลดเหลือเพียง Universal tariff ที่ 10% จาก 36% ที่มีการรวม Reciprocal tariff ขณะที่ Sectoral tariff จะถูกเก็บในสินค้ากลุ่มยานยนต์และ ชิ้นส่วน และกลุ่มเหล็ก ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 โดยกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ได้รับการยกเว้น

 

ในสถานการณ์นี้ คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ 2.0% ลดลงจากการประมาณการเดิมที่ 2.7%

 

สถานการณ์ที่ 2 : ในช่วงครึ่งปี หลังได้รับผลกระทบเต็มรูปแบบจากการขึ้นภาษี Reciprocal tariff ที่ 36%

 

นอกจากนี้ Sectoral tariff จะถูกเก็บในสินค้ากลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน และกลุ่มเหล็ก ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 โดยกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์จะได้ถูกจัดเก็บ ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3

 

ในสถานการณ์นี้ คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเพียง 0.7% ซึ่งลดลงอย่างมีนัยสำคัญ สอดคล้องกับมุมมองของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น จึงตัดสินใจลดดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ที่ 1.75% โดยประเมินว่าในกรณีผลกระทบปานกลาง GDP จะเติบโตที่ 2.0% และกรณีรุนแรงจะอยู่ที่ 1.3%

 

สงครามการค้า จุดเสี่ยงใหม่แบบ “Slow Burn” ต่างจากโควิดแต่แรงสะสมสูง

 

นักวิเคราะห์ ประเมินอีกว่า แม้ผลกระทบจะไม่รุนแรงเฉียบพลันเหมือนโควิด-19 (one time shock) แต่การกดดันทางการค้าแบบค่อยเป็นค่อยไป (slow burn) กำลังฉุดเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง

 

โดยเฉพาะครึ่งหลังของปี 2568 ซึ่งอาจเกิด “ภาวะถดถอยทางเทคนิค” ได้ หาก GDP หดตัวต่อเนื่อง 2 ไตรมาสติด ผลกระทบเฉพาะหน้า ได้แก่ การส่งออกที่หดตัวจากต้นทุนภาษีที่เพิ่มขึ้น ธุรกิจชะลอการลงทุนเพื่อรอดูท่าทีตลาด โดยเฉพาะธุรกิจที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ จะได้รับแรงกระแทกหนัก

 

2 ผลกระทบเชิงโครงสร้างที่ไทยต้องเตรียมรับมือ

 

1.แผลเป็นทางเศรษฐกิจระยะยาว

 

สงครามการค้าอาจทำให้เศรษฐกิจไทยสูญเสียโอกาสการเติบโตในระยะยาว เช่นเดียวกับที่เกิดในวิกฤตโควิด-19 โดย IMF คาดการณ์ว่า ไทยอาจสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 1.6 ล้านล้านบาท ภายใน 5 ปีข้างหน้า หากสถานการณ์ยืดเยื้อ

 

2.ผลกระทบต่อ SMEs

 

ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า มี SMEs ไทยกว่า 4,990 ราย ที่จะได้รับผลกระทบโดยตรง คิดเป็นมูลค่าเพิ่มจากการส่งออกประมาณ 2.2% ของ GDP ซึ่งถือว่า มีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งอาจได้รับผลกระทบ จากอัตราภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นจากเฉลี่ย 1.7% เป็น 9.3% โดยธุรกิจกลุ่มนี้แบ่งออกเป็น

 

  • กลุ่มที่โดน Sectoral tariff (ยานยนต์ เหล็ก อลูมิเนียม): 363 ราย  ซึ่งจะถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้น 25% จาก เดิม 2.4% 
  • กลุ่มที่โดน Reciprocal tariff (เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักร เกษตรแปรรูป): 4,437 ราย จะถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้น 10% จากเดิม 2.4% 
  • กลุ่มที่อาจโดนในอนาคต (อิเล็กทรอนิกส์ โลหะอื่น): 190 ราย


ธุรกิจ SMEs โดยเฉพาะกลุ่มที่พึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ในสัดส่วนสูง และมีอัตรากำไรขั้นต้น (Profit margin) ไม่มาก กำลังเผชิญความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้า โดยเฉพาะกลุ่มสินค้ากุ้งสด แช่เย็น แช่แข็งและแปรรูป อาหารสัตว์เลี้ยงสำเร็จรูป และบรรจุภัณฑ์พลาสติก ซึ่งอาจถูกกระทบหนักเป็นพิเศษ

 

ทั้งนี้ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ประเมินว่า มูลค่าการส่งออกของ SMEs ไทยไปยังสหรัฐฯ ในปี 2568 อาจลดลงถึง 38,300 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลกระทบทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ที่คล้ายคลึงกับช่วงวิกฤตโควิด-19 แม้ลักษณะของผลกระทบจะต่างกัน โดยสงครามการค้ามีแนวโน้มค่อยเป็นค่อยไป (slow burn) แต่ยังคงกระทบเศรษฐกิจโดยรวมอย่างต่อเนื่อง

 

ในระยะสั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงจำเป็นต้องเร่งออกมาตรการรับมือ เช่น การป้องกันไม่ให้ไทยถูกใช้เป็นฐานส่งออก (transshipment) ของสินค้าจากประเทศที่ถูกเก็บภาษี และการคุ้มครองตลาดในประเทศจากสินค้าต่างชาติที่เบี่ยงเส้นทางเข้ามาจำหน่ายแทนตลาดหลักที่ถูกปิดกั้น

 

วิกฤต หรือ โอกาสของไทย?

 

อย่างไรก็ตาม แม้สถานการณ์จะกดดัน แต่ Krungthai COMPASS มองว่าวิกฤตครั้งนี้ควรถูกใช้เป็นโอกาสเชิงยุทธศาสตร์ในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยให้แข่งขันได้ในระยะยาว

 

  • ยกระดับห่วงโซ่มูลค่าโลก ไทยควรเป็นฐานการผลิตคุณภาพสำหรับธุรกิจที่ต้องการกระจายความเสี่ยงจากจีน
  • พัฒนาแรงงาน-เทคโนโลยี ยกระดับทักษะ นวัตกรรม และคุณภาพสินค้าเพื่อเพิ่มมูลค่า
  • ขยายตลาดและพันธมิตรการค้า เร่งเจรจา FTA ใหม่ และหาตลาดใหม่ที่มีเป้าหมายร่วม


รับมือกับจีนอย่างสมดุล เน้นหลัก Free & Fair Trade พร้อมปรับสมดุลความสัมพันธ์ให้ไทยไม่ตกเป็นเพียงฐานการส่งออกของประเทศอื่น
 

ข่าวล่าสุด

ฉบับแรกของโลก! WHO ออกประกาศแนวทางใช้ยากลุ่ม GLP-1 สำหรับโรคอ้วน