สสว.เผย SME กว่า 80% ใช้ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง แต่ติดขัดงบประมาณ
สสว. เผยผลสำรวจ SME เข้าถึงดิจิทัล กว่า 80% ใช้ด้านบริการและการตลาด แต่ยังมีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ และทักษะบุคลากร
นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เผยผลสำรวจการขับเคลื่อน Digital Transformation ในธุรกิจ SME พบว่า ผู้ประกอบการเริ่มมีการปรับตัวด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ในการดำเนินธุรกิจเพิ่มขึ้นแต่ยังอยู่ในระดับ 1.0-2.0 ทั้งการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ Social Media โปรแกรมบริหารจัดการธุรกิจ เป็นต้น
เมื่อพิจารณาผลสำรวจเป็นราย Pilar พบว่า Pillar ที่ 1 การนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ในการติดต่อซัพพลายเออร์หรือผู้ขายวัตถุดิบ/สินค้า พบว่า ยังอยู่ในระดับ 1.0 แต่มีแนวโน้มเป็นระดับ 2.0 เพิ่มขึ้นเนื่องจาก SME มีการเปลี่ยนรูปแบบวิธีการจากการติดต่อผ่านช่องทางโทรศัพท์หรือติดต่อโดยตรงกับผู้ขาย ไปใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ในการติดต่อหรือสั่งซื้อสินค้า โดยเฉพาะในธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
Pillar ที่ 2 ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ พบว่า กำลังพัฒนามาอยู่ในระดับ 1.0 SME เริ่มเล็งเห็นถึงการสร้างแบรนด์และเอกลักษณ์ของสินค้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการซื้อโปรแกรมสำเร็จรูปมาเพื่อช่วยสร้างเอกลักษณ์ของธุรกิจ เช่น การสร้างโลโก้ สติ๊กเกอร์ร้าน โดยเฉพาะในธุรกิจขนาดย่อม สำหรับธุรกิจขนาดกลางเริ่มมีการออกแบบด้วยตนเองโดยภาพ 2D/3D
Pillar ที่ 3 ด้านการจัดการกระบวนการผลิต พบว่า ยังอยู่ที่ระดับ 1.0 SME ส่วนใหญ่ใช้แรงงานคนร่วมกับการทำงานของเครื่องจักรแบบพื้นฐาน มีการนำเครื่องจักรอัตโนมัติมาใช้ในบางกระบวนการแต่ยังเป็นส่วนน้อย
Pillar ที่ 4 ด้านการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า พบว่าอยู่ที่ระดับ 1.0 แต่มีแนวโน้มเป็นระดับ 2.0 เพิ่มขึ้น SME ในทุกขนาดธุรกิจมีการใช้ Social Media ในการติดต่อสื่อสารและรับฟังความต้องการจากลูกค้าเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังเริ่มมีการนำโปรแกรมบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) มาใช้เพิ่มขึ้นเพื่อติดต่องานขายและบริการลูกค้า
Pillar ที่ 5 ด้านการบริหารจัดการธุรกิจ พบว่า อยู่ในระดับ 1.0 แต่มีแนวโน้มเป็นระดับ 2.0 เพิ่มขึ้น SME ทุกขนาดธุรกิจยังคงใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์พื้นฐาน เช่น Microsoft Office มาใช้ในการบริหารจัดการ อีกทั้งมีการนำโปรแกรมเฉพาะ เช่น ระบบ POS มาใช้ในธุรกิจเพิ่มมากขึ้น เพื่อช่วยในการจัดเก็บข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้า
หากพิจารณาการขับเคลื่อน Digital Transformation ในภาคธุรกิจในสาขาที่สำคัญ พบว่า ทุกภาคยังอยู่ที่ระดับ 1.0 แต่มีภาคการค้า การผลิต และการบริการ ที่มีแนวโน้มการพัฒนาไปสู่ระดับ 2.0 ได้มากกว่าภาคธุรกิจอื่น สาขาภาคการค้า เช่น การค้าปลีกอุปโภค/บริโภค Modern Trade หรือ การค้าวัสดุก่อสร้าง มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารสต็อก เชื่อมโยงการขายสินค้าทั้งหน้าร้านและการขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ สาขาการผลิตสำคัญ เช่น การผลิตอาหารและเครื่องดื่ม การผลิตโลหะ มีการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่.มประสิทธิภาพการผลิต การทำการตลาดบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เป็นต้น
สาขาภาคการบริการ เช่น ร้านอาหาร/ภัตตาคาร โรงแรม/เกสต์เฮาส์/บังกะโล จะนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อให้บริการลูกค้า ทั้งใช้ AI Chatbot ช่วยตอบคำถามจากลูกค้าและวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ เป็นต้น
จากผลสำรวจได้ระบุถึงการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจของ SME ในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล พบว่า SME ร้อยละ 81 ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพในการให้บริการและการตลาด เช่น การทำช่องทางการชำระเงินและธุรกรรมดิจิทัล รองลงมาคือด้านการใช้ AI คิดเป็นร้อยละ 11 โดยการนำ Chatbot มาใช้สื่อสารกับลูกค้า และร้อยละ 8 นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิต เช่น การใช้เครื่องจักรอัตโนมัติ ระบบ ERP เป็นต้น
SME ทุกขนาดธุรกิจมักประสบกับอุปสรรคในเรื่องงบประมาณที่จำกัดในการนำเทคโนโลยีมาใช้ เพราะส่วนใหญ่เป็นโปรแกรมที่มาจากต่างประเทศ
รองลงมา คือ ความยากลำบากในการประเมินผลลัพธ์หรือประโยชน์ที่ได้รับหลังจากใช้งานเทคโนโลยีใหม่ รวมถึงการขาดบุคลากร/แรงงานที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยี
ดังนั้น ภาครัฐควรให้ความสำคัญและเพิ่มระดับความเข้มข้นในการพัฒนา และส่งเสริมทักษะทางดิจิทัลให้กับผู้ประกอบการ เนื่องจากกลุ่มตัวอย่างมองว่าการช่วยเหลือในปัจจุบันยังไม่ครอบคลุมและไม่สามารถนำไปต่อยอดได้จริง


