posttoday

ธนาคารโลกชี้ SME ไทยลงทุนนวัตกรรมน้อย การยกระดับเทคโนโลยียังมีไม่เพียงพอ

24 กุมภาพันธ์ 2568

ธนาคารโลก รายงานว่า SME ไทยเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน โดยเฉพาะการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ทั้งยังพบผู้ประกอบการส่วนใหญ่ลงทุนนวัตกรรมน้อย R&D ของภาคเอกชนยังกระจุกตัวอยู่ในบริษัทเพียงไม่กี่แห่ง  แนะควรใช้ประโยชน์จากการเข้ามาลงทุนต่างชาติ

ธนาคารโลกรายงานว่า ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีเกิดขึ้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงของช่องว่างทางเทคโนโลยีระหว่างประเทศพัฒนาแล้ว และประเทศกำลังพัฒนาจะกว้างขึ้น 

นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศยังเป็นอีกหนึ่งความท้าทายสำคัญสำหรับธุรกิจในประเทศไทย ดังนั้นการปรับตัว เพื่อรับมือกับความท้าทายนี้จำเป็นต้องอาศัยเทคนิคการผลิตที่สะอาดและยั่งยืนมากขึ้น 

ธุรกิจต่างๆ ของไทยจำเป็นต้องปรับตัวให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ไม่เช่นนั้นก็อาจเสี่ยงต่อการถูกตัดออกจากห่วงโซ่มูลค่าโลก เนื่องจากบริษัทคู่ค้าหลายแห่งกำลังเรียกร้องให้ซัพพลายเออร์ของตนปฏิบัติตามแนวทางที่ยั่งยืนมากขึ้น
 

SMEs ไทยยังลงทุนด้านนวัตกรรมน้อย 

ในปัจจุบันจำนวนผู้ประกอบการ SMEs ของไทยที่ลงทุนในนวัตกรรม และการยกระดับเทคโนโลยียังมีไม่เพียงพอ ขณะเดียวกัน จำนวนผู้ประกอบการที่พยายามบุกเบิกตลาดยังคงมีน้อย โดยเฉพาะในภาคดิจิทัล ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการเพิ่มผลิตภาพและขับเคลื่อนนวัตกรรม

 

แม้ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาโดยรวมของประเทศจะเพิ่มขึ้น แต่การลงทุนด้าน R&D ของภาคเอกชนยังคงกระจุกตัวอยู่ในบริษัทเพียงไม่กี่แห่ง 

 

อัตราส่วนค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาต่อ GDP ของไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยในปี พ.ศ. 2563 ตัวเลขดังกล่าวนี้สูงถึงร้อยละ 1.33 ของ GDP จากเดิมที่ค่าเฉลี่ยในช่วงปีพ.ศ. 2542- 2552 นั้นอยู่ที่ร้อยละ 0.23 ของ GDP เท่านั้น

 

แม้ว่าสัดส่วนการใช้จ่ายด้านด้านการวิจัยและพัฒนาของภาคเอกชนต่อค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาทั้งหมดจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (สูงถึงร้อยละ 74 ของค่าใช้จ่ายรวมด้านการวิจัยและพัฒนา ในปีพ.ศ. 2564) 4 แต่การลงทุนเหล่านี้ยังคงกระจุกตัวอย่างไม่สมดุล 

 

จำนวนธุรกิจเอกชนที่ลงทุนในกิจกรรมด้านการวิจัยและพัฒนายังคงอยู่ในระดับต่ำ (ร้อยละ 2.9 ในปี พ.ศ. 2559) ซึ่งต่ำกว่าประเทศรายได้ปานกลางและประเทศคู่เทียบอื่นๆ 

ไม่เพียงเท่านั้น งานวิจัยที่ดำเนินการในมหาวิทยาลัยและศูนย์วิจัยอาจไม่สอดคล้องกับความต้องการของภาคเอกชน งานศึกษาทบทวนเกี่ยวกับการจัดสรรเงินทุนเพื่อส่งเสริมนวัตกรรม ชี้ให้เห็นว่าทรัพยากรส่วนใหญ่มักกระจุกตัวอยู่ในองค์กรวิจัยสาธารณะและมหาวิทยาลัย 

 

แม้แต่ในโครงการที่มุ่งเน้นส่งเสริมการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ หากภาคเอกชนไม่ได้มีบทบาทนำในการกำหนดทิศทางการใช้งบประมาณเหล่านี้ ภาคเอกชนก็อาจไม่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินที่จำเป็นต่อการลงทุนที่มีความสำคัญเท่าที่ควร 

 

การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสามารถมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรม บริษัทต่างชาติ เป็นช่องทางสำคัญในการนำแนวคิดใหม่ เทคโนโลยีล้ำสมัย และกระบวนการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพเข้ามาปรับใช้ในประเทศ 

 

อย่างไรก็ตาม การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในประเทศไทยยังคงต่ำกว่าประเทศเทียบเคียงอื่นๆ โดยตั้งแต่อดีตจนถึงปี พ.ศ. 2565 อัตราการลงทุนของไทยอยู่ในระดับต่ำ กว่าคู่เทียบทั้งในระดับภูมิภาค และระดับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ 

 

สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความเป็นไปได้ว่ากฎระเบียบในการเข้าสู่ตลาดของไทยอาจขาดความสามารถในการแข่งขันเมื่อเทียบกับบางประเทศในกลุ่มเดียวกัน

 

การขับเคลื่อนนวัตกรรมจำเป็นต้องอาศัยปัจจัยสนับสนุนหลายประการ ปัจจัยบางอย่างเป็นเรื่องที่อยู่ ภายใต้การควบคุมของแต่ละบริษัท (เช่น การฝึกอบรมพนักงานและแนวทางการบริหารจัดการ) 

 

ขณะที่ปัจจัยอื่นๆ เป็นอุปสรรคในระดับระบบเศรษฐกิจ และภาคส่วนต่างๆ ที่ส่งผลต่อความสามารถในการสร้างนวัตกรรม ของภาคธุรกิจ (เช่น กฎระเบียบด้านการแข่งขัน การเข้าสู่ตลาด และการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เป็นต้น)

 

นอกจากนี้ การพัฒนานวัตกรรมจำเป็นต้องอาศัยแรงงานที่มีทักษะในการประยุกต์ใช้กระบวนการใหม่ๆ และสร้าง ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หลักฐานต่างๆ ชี้ให้เห็นว่าระบบการศึกษาของประเทศไทยไม่ได้ผลิตแรงงานที่มีทักษะที่จำเป็นสำหรับการขับเคลื่อนนวัตกรรม และการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง 

 

การเข้าถึงแหล่งเงินทุนความท้าทายสำหรับธุรกิจใหม่

โดยเฉพาะบริษัทที่ มุ่งเน้นนวัตกรรมและเทคโนโลยีผู้ประกอบการ MSME ไทยยังเผชิญข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อจากธนาคาร มีแนวโน้มถูกปฏิเสธสินเชื่อบ่อยกว่า และจำเป็นต้องพึ่งพาทรัพยากรของตนเองในการลงทุนมากกว่า

 

ยกระดับ SME ให้ทันสมัย

ธนาคารโลกรายงานอีกว่า สิ่งที่ไทยต้องทำนั้นมีมากมาย โดยเสนอว่าควรให้ความสำคัญกับประเด็นต่อไปนี้ 

สนับสนุนการพัฒนาและยกระดับ SME ให้ทันสมัย : ทบทวนโครงการที่มีอยู่เพื่อให้มั่นใจว่ามีความสำคัญต่อการพัฒนา โดยเฉพาะในด้าน เทคโนโลยีดิจิทัลและเทคโนโลยีด้านสภาพภูมิอากาศ

 

อีกแนวทางคือการขยายการเข้าถึงมาตรการสนับสนุนเพื่อให้ SME ทุกรายรับรู้ถึงการมีอยู่ของโครงการต่างๆ รวมถึงรายละเอียด รูปแบบการสนับสนุน และวิธีการเข้าร่วมโครงการ 

 

ใช้ประโยชน์จากบทบาทของไทยในห่วงโซ่มูลค่าโลก : เพื่อเพิ่มนวัตกรรมและผลิตภาพ การที่จะใช้ประโยชน์จากการเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่มูลค่าโลกได้อย่างเต็มที่นั้นประเทศไทยจำเป็นต้องผ่อนปรนข้อจำกัด ด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง 

 

โดยเฉพาะในภาคการค้าบริการ ซึ่งประกอบด้วยบริการ ทางวิชาชีพ บริการด้านวิทยาศาสตร์บริการทางด้านเทคนิค รวมถึงบริการด้านขนส่งทางบก 

 

นอกจากนี้บริการทางการเงินก็จำเป็นต้องได้รับการผ่อนปรนเช่นกัน : แม้จะอยู่ในระดับที่น้อยกว่าบริการกลุ่มอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ประเทศไทยควรดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างธุรกิจในประเทศกับห่วงโซ่มูลค่าโลกและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศให้มากขึ้น 

 

ปรับเปลี่ยนจากการวิจัยและพัฒนาที่ขับเคลื่อนโดยอุปทานไปสู่การขับเคลื่อนด้วยอุปสงค์ประเทศไทย : หมายถึงการทำให้งานวิจัยมีความเชื่อมโยงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น โดยส่งเสริมโครงการวิจัยร่วมระหว่างภาคอุตสาหกรรม และสถาบันการศึกษาที่ขับเคลื่อนโดยภาคเอกชนเป็นหลัก แทนที่จะนำโดยสถาบันการศึกษาเพียงฝ่ายเดียว 

 

นอกจากนี้มาตรการจูงใจทางภาษี สำหรับการวิจัยและพัฒนาควรได้รับการปรับปรุงให้เรียบง่าย : เพื่อเพิ่มความชัดเจนและความสามารถในการคาดการณ์ของภาคธุรกิจ รวมทั้งปรับให้สอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในระดับสากล 

 

สุดท้าย สิ่งสำคัญคือการปรับปรุงกระบวนการติดตาม และประเมินผลเพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพของมาตรการสนับสนุนเหล่านี้ซึ่ง จะทำให้การจัดสรรทรัพยากรระหว่างโครงการต่างๆ มีความเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด พัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยีขั้นสูง 


 

ข่าวล่าสุด

3 ชาติผนึกกำลังทลาย 'KK Park - ชเวก๊กโก' รังใหญ่ "แก๊งคอลเซ็นเตอร์"