posttoday

เปิดสาเหตุทำไม SME ไทยล้มระนาว โรงงานปิดตัว ปี‘68 ยังน่าห่วง เศรษฐกิจซึมยาว

18 กุมภาพันธ์ 2568

เปิดสาเหตุ ทำไมเอสเอ็มอีที่เป็นรากฝอยสำคัญของประเทศทยอยปิดกิจการ สถิติปิดตัวลงเดือนละไม่ต่ำกว่า 100 แห่ง สารพัดปัจจัยเสี่ยงรุมเร้า ปี’68 เศรษฐกิจยังซึม ด้าน เอกนัฏ พร้อมพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มองบวกเร่งปฏิรูปอุตสาหกรรมหนุนจีดีพีประเทศโต

KEY

POINTS

  • เปิดสาเหตุ ทำไมเอสเอ็มอีที่เป็นรากฝอยสำคัญของประเทศทยอยปิดกิจการ สถิติปิดตัวลงเดือนละไม่ต่ำกว่า 100 แห่ง
  • สารพัดปัจจัยเสี่ยงรุมเร้า ปี’68 เศรษฐกิจยังซึม เอสเอ็มอีกว่าครึ่งเป็นหนี้นอกระบบ สินค้าแข่งไม่ได้ แบกรับต้นทุนไม่ไหว
  • เอกนัฏ พร้อมพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มองบวกเร่งปฏิรูปอุตสาหกรรม ทำอย่างไรให้เอสเอ็มอีเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่ อุตสาหกรรมที่ได้รับส่งเสริมจาก BOI 

 

 

การปิดตัวของโรงงานในไทยเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมาพบทยอยปิดกิจการไม่น้อยกว่า 100 แห่งต่อเดือน ตามข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่าแนวโน้มในปี 2568 โรงงานจะยังคงเผชิญกับความเสี่ยงปิดตัวต่อเนื่อง ทั้งรายเล็กรายใหญ่ด้วยสารพัดปัจจัยเสี่ยงรุมเร้า 

หากดูสถานการณ์การเปิด-ปิดโรงงานในปี 2567 แม้ภาพรวมการเปิดโรงงานจะมากกว่าการปิดโรงงาน แต่จำนวนโรงงานที่ปิดตัวเฉลี่ยยังคงมากกว่า 100 แห่งต่อเดือน สถานการณ์โดยรวมจึงยังเป็นภาพที่ไม่ดีต่อเนื่อง เห็นได้จากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (2566-2567) โรงงานเปิดใหม่หักลบด้วยโรงงานปิดตัว เฉลี่ยลดลงเหลือเพียง 52 แห่งต่อเดือน จาก 127 แห่งต่อเดือนในช่วงปี 2564-2565
 

ก.อุตฯ ปฏิรูปอุตสาหกรรม เอกนัฏ มองบวก “รายเก่าไป รายใหม่มา” 

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากข่าวการปิดตัวของโรงงานที่ผ่านมา โดยเฉพาะการปิดตัวของโรงงานรถยนต์ ซึ่งตนเองไม่อยากให้ตื่นตระหนกมาก เนื่องจากมองว่าขณะนี้โรงงานในไทย มีทั้งตัวเลขเปิดและปิด ในขณะที่เจ้าเก่าไป เจ้าใหม่ก็มา

อย่างกรณีโรงงานค่ายรถยนต์ล่าสุดทางมาสด้า ประกาศลงทุนเพิ่มวงเงิน 5 พันล้านบาท ผลิตรถรุ่นใหม่ ส่วนโตโยต้าอัด 5.5 หมื่นล้านบาท รักษาฐานผลิตในไทย ผลิตชิ้นส่วนไฟฟ้า-ไฮบริด 

ส่วนภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ ก็มีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีขึ้น เช่นอุตสาหกรรมบอิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักส์เตอร์ AI ก็ได้รับยอดส่งเสริมการลงทุนจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ของประเทศ แปลว่าธุรกิจขนาดใหญ่กำลังเข้ามาในประเทศไทย ไทยกำลังเกิดโอกาสใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมประเทศ 

ดังนั้นโจทย์ที่ท้าทายคือ จะทำให้เอสเอ็มอีไทยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่ธุรกิจเหล่านี้ได้อย่างไร เพราะมีหลายอุตสาหกรรมที่จะเข้ามาลงทุน

ในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงอุตฯ พยายามที่จะเร่งปฏิรูปอุตสาหกรรมให้มีความโปร่งใส ไม่เพียงผู้ประกอบการรายใหญ่ แต่ครอบคลุมทุกกิจการ พยายามที่จะช่วยยกระดับให้กิจการแต่ละแห่งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเป็นมิตรกับผู้คนมากขึ้น ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน รวมถึงใช้ประโยชน์จากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) ที่นำเอาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามา สามารถนำไปถ่ายทอดสู่ผู้ประกอบการรายย่อยอื่น ๆ ได้

นายเกียรติพงศ์ อริยปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของธนาคารโลกประจำประเทศไทย เปิดเผยกับ โพสต์ทูเดย์ว่า การใช้ประโยชน์จาก FDI เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่จะทำให้เอสเอ็มอีไทยได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ในอนาคต 

ทั้งนี้ เมื่อวิเคราะห์ลงไปถึงสาเหตุของการปิดตัวกิจการในภาคต่าง ๆ นายเกียรติพงศ์ กล่าวว่า จากผลสำรวจพบว่าเอสเอ็มอีและผู้ประกอบการในประเทศไทยเผชิญกับความท้าทายหลักสี่ประการได้แก่

  1. การเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่จำกัด 
  2. การขาดการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานในระยะเริ่มต้น เช่น โครงการบ่มเพาะธุรกิจ และโครงการเร่งการเติบโตของธุรกิจ
  3. ทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคตที่ไม่เพียงพอ 
  4. อุปสรรคด้านกฎระเบียบ โดยเฉพาะในเรื่องการแข่งขันที่เป็นธรรมการค้าและการลงทุน

เอสเอ็มอีอ่วม บางรายชะลอกิจการ

สอดคล้องกับ นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ที่เปิดเผยกับโพสต์ทูเดย์ว่า การปิดตัวของกิจการในไทยมีมากกว่า 100 แห่งไม่ใช่เฉพาะโรงงานเท่านั้น แต่มีผู้ประกอบการอีกหลายรายที่ปิดกิจการไปแบบเงียบ ๆ 

ซึ่งการเลิกกิจการผู้ประกอบการ โดยเฉพาะเอสเอ็มอี มีผู้ประกอบการที่แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ 

1.กลุ่มที่อยู่ในทะเบียนพาณิชย์ ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ที่แจ้งยกเลิก ตัดสินใจว่าจะไม่เลี้ยงบริษัทไว้แล้ว เพราะไม่สามารถแข่งขันได้ ฉะนั้นการเลิกกิจการก็อาจเป็นทางออกในการตัดสินใจแบบเด็ดขาด 

ขณะเดียวกันก็มีผู้ประกอบการอีกกลุ่มหนึ่งที่ชะลอกิจการ หมายความว่าเขาไม่มีออเดอร์เข้า แต่ยังไม่ปิด หรือบางกิจการยื่นงบเปล่า บริษัทแทบไม่มีรายได้ หรือขาดทุน แต่ก็ยังไม่อยากจะปิดกิจการ จึงใช้คำว่าชะลอไปก่อน นี่คือกลุ่มที่อยู่ในระบบของฐานข้อมูล 

2.กลุ่มที่เป็นรายย่อย และอยู่นอกระบบซึ่งกลุ่มนี้อาจมีข้อมูลที่ไม่ชัดเจน 

เปิด 7 สาเหตุกิจการปิดตัว 

นายแสงชัย กล่าวต่อว่า เห็นสัญญาณนี้มาตั้งแต่ปี 2566 แล้วว่าผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มภาคการผลิต ทั้งขนาดกลาง และขนาดเล็ก มีการเลิกกิจการเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ทั้งนั้นมองว่าปัจจัยที่เป็นตัวเร่ง ทำให้สถานประกอบการเหล่านี้ มีสภาวะของการปิดตัวลงมีอยู่ 7 เรื่องด้วยกัน ดังนี้ 

1.ผู้บริโภคกำลังซื้อลดลง เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจซบเซา รวมถึงปัญหาการว่างงาน ภาวะหนี้สินที่เพิ่มมากขึ้น กอปรกับการขาดความเชื่อมั่นทางด้านเศรษฐกิจด้วย จึงทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง

2.การเผชิญกับคู่แข่งจำนวนมาก และการรุกเข้ามาของทุนข้ามชาติ แพลตฟอร์มต่างชาติที่เข้ามาพร้อมกับสินค้าราคาถูก สินค้าที่มาแบบหนีภาษี เป็นสิ่งที่ทำให้เอสเอ็มอีในกลุ่มนี้เมื่อสู้ไม่ไหวก็เผชิญกับภาวะดำเนินธุรกิจแบบขาดทุนหรืออยู่ไม่ได้

3.การขาดสภาพคล่องทางการเงิน การเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยาก ซึ่งจะเห็นว่าอัตราการปล่อยสินเชื่อติดลบ ขณะที่สถาบันการเงินแต่ละแห่งก็เริ่มมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น 

"ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจำนวนมาก ไหลไปสู่หนี้นอกระบบเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ปัญหาอัตราดอกเบี้ยสูง การแก้ไขปัญหายังไม่ได้รับความอำนวยความสะดวกอย่างรวดเร็ว

ทำให้อาจมีข้อจำกัดในการแก้ปัญหา เรื่องของสภาพคล่องการเงินอีกเยอะ แต่รัฐบาลก็มีมาตรการทางการเงินออกมาแล้วบ้าง คาดว่าน่าจะช่วยบรรเทาได้ในระดับหนึ่ง"

4.ต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่เพิ่มขึ้น จะเห็นว่าประเทศเราพึ่งพาปัจจัยการผลิตนำเข้าจากต่างประเทศมาก รวมถึงน้ำมัน ไฟฟ้าที่มีราคาสูง ส่งผลต่อต้นทุนเอสเอ็มอี 

5.พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป จะสังเกตุว่าช่องทางการซื้อขายสมัยใหม่ เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ในขณะที่รูปแบบการตลาดที่เป็นโซเชียลมีเดีย มีอิทธิพล ใช้อินฟลูเอนเซอร์เพื่อช่วยทำการตลาดก็มีส่วน เพราะฉะนั้นสินค้าที่มีรูปแบบการตลาดแบบดั้งเดิม หรือไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลง จึงทำให้เป็นอุปสรรคต่อการอยู่รอด 

6.สินค้าขายไม่ได้ ไม่ตอบโจทย์ผู้บริโภค ขาดการสร้างแบรนด์ การบอกเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจ การสร้างสรรค์นำเอาเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์ในการสร้างมูลค่าเพิ่ม ให้เกิดความแตกต่างและสร้างช่องทางการตลาด 

7.การจ้างงาน วันนี้เผชิญกับการจ้างงานที่มีผลิตภาพแรงงานไม่สัมพันธ์กับค่าจ้าง การพัฒนาผลิตกำลังคนไม่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน และปัญหาที่ผู้ประกอบการอาจมีการนำเครื่องจักรและเอไอ มาทดแทนแรงงานอนาคต อยู่ในกลุ่มผู้ประกอบการที่มี่ความพร้อม แต่ผู้ประกอบการที่ไม่มีความพร้อมอาจต้องเผชิญกับต้นทุนแรงงานไม่คุ้มค่ากับค่าใช้จ่าย 

ดร.กอบศักดิ์ กังวล ปี’68 คนเสี่ยงตกงาน

ในส่วนของ ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวกับโพสต์ทูเดย์ว่า เป็นเรื่องน่ากังวลใจ เอสเอ็มอีเมืองไทยจะได้รับผลกระทบหลายรอบ โดยเฉพาะที่อยู่ในซัพพลายเชนของบริษัทใหญ่ ยกตัวอย่างของ Subaru และ Suzuki ตัดสินใจหยุดสายการผลิตในไทยมาจากการทำตลาดที่ยากขึ้นกว่าในอดีต และปัญหาการขาดทุนที่สะสมอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นผู้ที่อยู่ในห่วงโซ่ก็จะมีปัญหา หรืออย่างในนิคมอุตสาหกรรม ก็เริ่มปิด และเริ่มมีการลดคน

สิ่งที่น่ากังวลคือระบบใหม่ที่เป็น Automation อาจเข้ามาทำให้คนตกงานมากขึ้น เพราะโรงงานหลายแห่งเริ่มปรับตัวจากผลิตสินค้าแบบเก่า เปลี่ยนเป็นผลิตสินค้าแบบใหม่ให้ตอบโจทย์โลก ไม่เช่นนั้นขายไม่ได้ ไม่เท่านั้นยังมีการเปลี่ยนเครื่องมือ เทคโนโลยีต่าง ๆ ซึ่งอาจทำให้เกิดการลดคนในบางโรงงาน 

ทำธุรกิจผูกติดกับอะไรเดิมๆ ไม่รอด

ดร.กอบศักดิ์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่ธุรกิจเผชิญอยู่ ณ ตอนนี้ต้องอาศัยความสามารถในการทำธุรกิจ ทำธุรกิจมาร้อยปี ต้องมีการส่งต่อ สินค้าเปลี่ยนได้ แต่นักธุรกิจต้องไม่ตาย แล้วนักธุรกิจก็จะสามารถเปลี่ยนจากหนึ่งเป็นสองสามสี่ได้ เพราะสินค้ามีความนิยมอยู่เป็นช่วง ๆ การทำธุรกิจผูกติดกับอะไรเดิมๆ ไม่รอด สินค้าเดิมอัพเกรดไม่ได้ ก็ต้องเปลี่ยนไปอัพเกรดเป็นสินค้าใหม่ๆ 

หลายเซกเตอร์เผชิญปัญหาสะสมมาตั้งแต่โควิด 

ทั้งนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานว่า อุตสาหกรรมที่มีการปิดตัวค่อนข้างมากอยู่ในหมวด เสื้อผ้า-สิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์ โลหะ และเหล็ก” ซึ่งเป็นเซ็กเตอร์ที่เผชิญกับแรงกดดันทางด้านการแข่งขัน

กลายเป็นปัญหาสะสมมาตั้งแต่ก่อนโควิดไม่สามารถประคองตัวอยู่รอดได้ เนื่องจากต้นทุนที่สูงขึ้น ทำให้แข่งขันยากขึ้นจากสินค้านำเข้าจากจีน ส่วนจะส่งออกไปต่างประเทศก็เจอการแข่งขันจากภายนอก ขณะที่ภายในประเทศฟื้นตัวไม่ทั่วถึง กำลังซื้ออ่อนแอ

อุตสาหกรรมเหล็ก อัตรากำลังการผลิตต่ำ

นายบัณฑูรย์ จุ้ยเจริญ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ในส่วนของอุตสาหกรรมเหล็กนั้น ปี 2567 มีอัตราการใช้กำลังการผลิตเพียงประมาณ 25-26% เท่านั้น ซึ่งเป็นอัตราการผลิตที่ต่ำจนมีโรงงานขนาดใหญ่ประวัติยาวนานต้องปิดกิจการหรือหยุดการผลิตไป เนื่องจากไม่สามารถแบกรับสภาวะขาดทุนต่อไปอีกได้

ทั้งนี้หากไม่มีนโยบายห้ามตั้ง ห้ามขยาย แล้วเกิดการย้ายโรงงาน ย้ายเครื่องจักรจากประเทศที่มีกำลังการผลิตส่วนเกิน ดังตัวอย่างการเข้ามาตั้งโรงงานเหล็กเส้นด้วยเตาอินดักชั่นในช่วงก่อนปี 2562 ที่รัฐบาลจีนได้ปิดโรงงานเหล่านั้น

เนื่องจากประเด็นด้านกำลังการผลิตส่วนเกิน ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านการควบคุมคุณภาพสินค้า หากมีการย้ายโรงงานผลิตเหล็กเส้นมาเพิ่มอีกก็จะทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตที่ต่ำมากอยู่แล้วต่ำลงไปอีกจนถึงขั้นที่จะมีโรงงานที่ต้องหยุดกิจการหรือปิดตัวเพิ่มขึ้นอีกอย่างแน่นอน 

เหล็กจีนไหลบ่านอกประเทศ

ปัจจุบันกำลังการผลิตเหล็กของประเทศจีนทั้งหมดประมาณ 1,100 ล้านตันต่อปี ในขณะที่ปริมาณความต้องการใช้ในประเทศจีน ประมาณ 900 ล้านตันต่อปี จึงมีกำลังการผลิตส่วนเกินประมาณ 200 ล้านตันต่อปี ปริมาณการส่งออกสู่ตลาดโลกในปี 2567 คาดว่าสูงเป็นประวัติการณ์อยู่ที่กว่า 110 ล้านตัน

เนื่องจากสถานการณ์ดีมานด์ของประเทศจีนยังไม่ดีขึ้นและจีนยังคงรักษาอัตราการผลิตในระดับสูงเกือบเต็มกำลังไว้เพื่อรักษาการจ้างงานในประเทศและรักษาความได้เปรียบเชิงขนาด และมุ่งส่งออกในระดับราคาที่ต่ำ 

ดังนั้นการไหลบ่าของผลิตภัณฑ์เหล็กจากประเทศจีนก็ยังคงเป็นประเด็นความท้าทายอย่างต่อเนื่องสำหรับอุตสาหกรรมเหล็กของประเทศที่เป็นเป้าหมายในการส่งออกของจีน เช่น อาเซียนรวมทั้งประเทศไทยต่อไป ดังนั้นมาตรการทางการค้าเพื่อความเป็นธรรมในการแข่งขันจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

สถิติการเปิด และปิดโรงงาน 2565-2567 

ในช่วงสามปีที่ผ่านมา (2565-2567) เศรษฐกิจไทยเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม พบว่า

    ปี 2565:
    •    โรงงานเปิดใหม่: 2,240 แห่ง
    •    โรงงานปิดกิจการ: 1,140 แห่ง
    ปี 2566:
    •    โรงงานเปิดใหม่: 2,190 แห่ง
    •    โรงงานปิดกิจการ: 1,811 แห่ง
    ปี 2567:
    •    โรงงานเปิดใหม่: 2,112  แห่ง
    •    โรงงานปิดกิจการ: 1,234 แห่ง

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเดือนมกราคม 2568 พบข้อมูลเปิดโรงงานเพิ่ม 147 แห่ง คิดเป็นมูลค่าเงินทุน 1.8 หมื่นล้านบาท เกิดการจ้างงาน 6,257 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 6 ก.พ.2568) 

เปิดสาเหตุทำไม SME ไทยล้มระนาว โรงงานปิดตัว ปี‘68 ยังน่าห่วง เศรษฐกิจซึมยาว

 

ที่มาข้อมูล : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย , เหล็ก.com

ข่าวล่าสุด

บอลวันนี้ ดูบอลสด ถ่ายทอดสด โปรแกรมฟุตบอล วันจันทร์ที่ 15 ธ.ค. 68