posttoday

ฟาร์มระพีพัฒน์ ฟาร์มไก่ไข่รายเล็ก หัวใจใหญ่ ทรานส์ฟอร์ม สู่ Zero Waste

04 สิงหาคม 2567

เส้นทาง ฟาร์มระพีพัฒน์ 47 ปี ต้องเผชิญความท้าทายหลากหลาย ราคาไข่ไก่ผันผวน การสู้กับรายใหญ่ ไม่ใช่เรื่องง่าย !!! "สุพัฒน์" สะท้อนจุดเริ่มต้นธุรกิจอยู่รอดได้ ไม่ได้มองแค่ราคาดี รายได้งาม แต่การคุมต้นทุน ต่างหาก คือ หัวใจสำคัญ

สุพัฒน์ ธนะพิงค์พงษ์ กรรมการ บริษัท ฟาร์มระพีพัฒน์ (1999) จำกัด เล่าว่า ตอนนี้บริษัทมียอดขายอยู่ที่ 200 ล้านบาท แต่เมื่อย้อนไปที่จุดเริ่มต้น เราไม่ได้มองว่า อยากทำธุรกิจเพราะรายได้ดี เพราะสินค้าเกษตร อยู่รอดได้ ต้องรู้จักบริหารต้นทุน ราคาไข่เปลี่ยนแปลงปีละ 20 ครั้ง หน้าหนาวราคาไข่ลง หน้าร้อน ราคาไข่ขึ้น ถ้าเรายังต้องซื้อพันธุ์ไก่ ซื้ออาหาร และยา จากนายทุน จะทำให้ต้นทุนสูง สุดท้ายจะไม่รอด ดังนั้นหัวใจสำคัญของเกษตรกรรม คือ การบริหารต้นทุน เราต้องพยายามทำเองให้ครบวงจร

SME จะอยู่รอดหรือไม่รอดอยู่ที่ต้นทุน จึงต้องหาวิธีลดต้นทุน เพราะหากต้นทุนต่ำ เวลาขาดทุนจะขาดทุนน้อย แต่เวลากำไร จะได้กำไรมาก 

อย่ามองแค่ราคาดี หัวใจคือ บริหารต้นทุน

เขาเล่าย้อนไปเมื่อ 47 ปีที่ผ่านมาถึงจุดเริ่มต้นในการก่อตั้งบริษัทว่า ฟาร์มระพีพัฒน์ ในอดีต เรามีทั้งไก่ไข่ ไก่เนื้อ และ หมู แต่ในเวลา 9 ปีต่อมา ต้องปรับแนวคิดธุรกิจ เหลือเพียงการเลี้ยงไก่ไข่ เพียงอย่างเดียว เหตุผลมาจากการแข่งขันของรายใหญ่ในตลาดไก่เนื้อและหมู สูงมาก เราไม่มีโรงเชือดเป็นของตนเอง จึงทำราคาแข่งกับรายใหญ่ที่มีโรงเชือดของตนเองได้

ฟาร์มระพีพัฒน์ ฟาร์มไก่ไข่รายเล็ก หัวใจใหญ่ ทรานส์ฟอร์ม สู่ Zero Waste สุพัฒน์ ธนะพิงค์พงษ์ เจ้าของฟาร์มระพีพัฒน์

ด้วยความรู้ที่เรียนจบการศึกษาจาก ม.ธรรมศาสตร์ สาขาเศรษฐศาสตร์ และเคยเป็นอาจารย์ที่ม.สงขลานครินทร์ และ ม.สยาม มาก่อน จึงรู้ว่าธุรกิจการเกษตรมีวัฏจักรที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ราคามีขึ้นมีลงตลอดเวลา จึงต้องหาวิธีบริหารต้นทุน ทำให้ต้นทุนต่ำลง เพื่อทำให้ธุรกิจ อยู่รอด 

ทำให้หลังจากเลี้ยงไก่ไข่ได้ระยะหนึ่ง และมีการเริ่มพัฒนาจากโรงเรือนเปิดมาเป็นโรงเรือนปิด เพื่อควบคุมอุณหภูมิภายในโรงเรือนให้คงที่ ไก่อยู่สบาย ไม่เป็นโรค ผลผลิตดีแล้ว ก็เริ่มหันมาทำฟาร์มไก่ไข่แบบครบวงจรมากขึ้น ตั้งแต่การเลี้ยงไก่ไข่ และลูกไก่ รวมถึงผลิตอาหารสัตว์ เมื่อบริษัทขยายธุรกิจไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดที่สามารถช่วยให้ต้นทุนต่ำลงได้ ก็พยายามหาทางลดต้นทุนอื่น ๆ ด้วย เช่น การผลิตวัตถุดิบ การสต็อกวัตถุดิบ 

ฟาร์มระพีพัฒน์ ฟาร์มไก่ไข่รายเล็ก หัวใจใหญ่ ทรานส์ฟอร์ม สู่ Zero Waste ฟาร์มระพีพัฒน์ ฟาร์มไก่ไข่รายเล็ก หัวใจใหญ่ ทรานส์ฟอร์ม สู่ Zero Waste เราไม่ได้เลี้ยงตามใคร หรือตามราคาดี เรามีการวางแผนการเลี้ยง จัดตารางหมุนเวียนเข้า - ออกไก่ หากมีไก่เข้าใหม่ทุก 2 เดือน ก็ต้องมีไก่ออกเช่นกัน เราจัดการโรงเรือนให้เป็นระบบปิด ให้ไก่อยู่สบาย เน้นดูแลและเลี้ยงไก่ให้ได้ผลผลิตไข่ที่ดี บริหารปริมาณสินค้าให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าและตลาด ไม่ทำมากเกินไป หรือน้อยเกินไป ในทุกช่วงสภาวการณ์ ต้องคำนวณต้นทุนอยู่สม่ำเสมอและจัดการต้นทุนให้ต่ำลง

เท่านี้เราก็จะอยู่ได้โดยไม่กังวลถึงราคาขายของสินค้าที่ปรับขึ้นปรับลงตามสภาวะความต้องการของตลาด

ฟาร์มสีเขียว ลดการปล่อยของเสีย

33 ปีต่อมา 2554 สุพัฒน์ ได้พัฒนาฟาร์มใหม่เป็นโรงเรือนแบบปิดขยายใหญ่ขึ้น มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเลี้ยงไก่ - เก็บไข่ จนกลายเป็นโรงเรือนแบบเซมิออโตขนาดใหญ่รองรับได้ 40,000 ตัว 

ปัญหาหลักของฟาร์มเลี้ยงสัตว์ คือ ส่งกลิ่น และมีแมลงวัน รบกวนชาวบ้านบริเวณรอบฟาร์ม เขาจึงตั้งเป้าหมายให้ ฟาร์มระพีพัฒน์ เป็นฟาร์มสีเขียว เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่มีกลิ่น ไม่มีแมลง และของเสียออกนอกฟาร์ม 

ฟาร์มระพีพัฒน์ ฟาร์มไก่ไข่รายเล็ก หัวใจใหญ่ ทรานส์ฟอร์ม สู่ Zero Waste

พื้นที่ฟาร์มทั้งหมดเกือบ 100 ไร่ เขาใช้เลี้ยงไก่ 20% ที่เหลือ 80% ปลูกต้นไม้ โดยโรงเรือนไก่ไข่เป็นระบบปิดที่มีระบบการจัดการมูลไก่ด้วย ซึ่ง 1 วันมีประมาณ 40 ตัน ทำให้เป็น Zero Waste ด้วยการนำไปผลิตไบโอแก๊ส (Biogas) ปั่นเป็นกระแสไฟฟ้าใช้เองภายในฟาร์ม โดยใช้ในฟาร์ม 100% ปั่นไฟใช้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ปัจจุบันทำมาได้ 7 ปีแล้ว นอกจากนี้ยังมีการนำมูลไก่ไปหมักแล้วจำหน่ายเป็นปุ๋ย และมีฟาร์มจระเข้สำหรับกินไก่ที่ตายแล้วอีกด้วย

ผมอยากให้ฟาร์มระพีพัฒน์เป็นฟาร์มสีเขียว ตอบโจทย์ตามกระแส Sustainability ที่ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญ เป็นต้นแบบให้ฟาร์มอื่น ๆ หันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมเป็นมิตรกับผู้คนในชุมชน

ข่าวล่าสุด

3 ชาติผนึกกำลังทลาย 'KK Park - ชเวก๊กโก' รังใหญ่ "แก๊งคอลเซ็นเตอร์"