posttoday

เทรนด์พรีเมียมฮ็อตรอตั้งรับนักท่องเที่ยวและนักดื่มระดับไฮเอนด์สู่ไทย

23 กุมภาพันธ์ 2567

เทรนด์พรีเมียม (Premiumization) มาแรง เตรียมตั้งรับด้วยกลยุทธ์ดึงนักท่องเที่ยวและนักดื่มระดับไฮเอนด์ ฟื้นอุตสาหกรรมบริการและค้าปลีกของไทย

รายงานวิจัยล่าสุดจาก Oxford Economics เปิดเผยถึง “เทรนด์พรีเมียม” หรือการยกระดับการบริโภคสินค้าและบริการ (Premiumization) กำลังกลายเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตและฟื้นฟูอุตสาหกรรมการบริการและค้าปลีกของประเทศไทย โดยกระแสดังกล่าวนี้สอดคล้องกับเป้าหมายของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในปี 2567 ที่มุ่งเน้นการดึงดูดนักท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์ ตั้งเป้าสร้างรายได้ 3.5 ล้านล้านบาท

โดย ททท. ให้ความสำคัญกับการยกระดับมาตรฐานและส่งมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวที่เหนือระดับ เน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพสูง ตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวที่มองหาประสบการณ์การท่องเที่ยวเชิงไลฟ์สไตล์ รวมถึงอาหารและเครื่องดื่มที่พิเศษไม่เหมือนใคร

สำหรับ “เทรนด์พรีเมียม” หรือการยกระดับการบริโภคสินค้าและบริการหมายถึงการที่ผู้คนเลือกใช้จ่ายสินค้าและบริการด้านอาหารและเครื่องดื่มในระดับที่สูงขึ้น เนื่องจากกำลังซื้อภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งมีความต้องการประสบการณ์ที่แปลกใหม่และน่าจดจำมากขึ้น จากข้อมูลของ IWSR พบว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อัตราการจับจ่ายทั่วโลก เติบโตจากผู้คนที่ใช้จ่ายเงินกับเครื่องดื่มคุณภาพดีมากขึ้น

ทั้งนี้รายงานที่ชื่อว่า “International Wine and Spirits in ASEAN: The Economic Contribution of the International Wine and Spirits Value Chain in Thailand and Vietnam” จัดทำโดย Oxford Economics และได้รับมอบหมายจาก Asia Pacific International Spirits and Wine Alliance (APISWA) ได้มีการจัดทำชึ้นเพื่อประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจของการขายและจัดจำหน่ายไวน์และสุราต่างประเทศในสองประเทศเศรษฐกิจสำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ไทยและเวียดนาม

ด้านนายดาวิเด เบซานา ผู้อำนวยการ APISWA กล่าวว่า  การยกระดับการบริโภคสินค้าและบริการเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจในไทยและภูมิภาค เพื่อเร่งการฟื้นฟู เติบโต และขยายตัว ซึ่งเทรนด์นี้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 ที่มุ่งเน้นการบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เพื่อสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ

“เราจะเห็นว่าไวน์และสุราจากต่างประเทศมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนภาคธุรกิจการบริการและการค้าปลีกระดับพรีเมี่ยม ซึ่งอุตสาหกรรมโดยภาพรวมจำเป็นต้องมีสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบที่สมดุลและครอบคลุม เราหวังว่าข้อมูลจากในรายงานนี้จะช่วยสร้างความเข้าใจที่ดี และนำไปสู่การปรึกษาหารือระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในภาคอุตสาหกรรมเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจสำหรับธุรกิจในประเทศ รวมถึงผู้ประกอบการ และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการ เพื่อตอบสนองความต้องการสินค้าระดับพรีเมียมและบริการมากขึ้น”

ทั้งนี้ในรายงานดังกล่าว ได้มีการสรุปประเด็นสำคัญ เพื่อช่วยให้ผู้กำหนดนโยบายและภาคธุรกิจของประเทศไทยเข้าใจและสามารถคว้าโอกาสจากเทรนด์ “พรีเมียม” ได้ชัดเจนขึ้น โดยสรุปประเด็นสำคัญ ดังนี้

  • Premiumization สามารถส่งเสริมวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่ประเทศไทยพยายามดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีกำลังการซื้อสูง หลังจากเหตุการณ์การแพร่ระบาดที่ผ่านมา ไวน์และสุราจากต่างประเทศเป็นส่วนประกอบสำคัญในการให้บริการระดับพรีเมี่ยม โดยที่การค้าปลีกและอาหารและเครื่องดื่ม พบว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญนักท่องเที่ยวผู้มีฐานะพิจารณาเมื่อเลือกจองวันหยุด รองจาก “สุขภาพและความปลอดภัย”
  • การขายและจัดจำหน่ายไวน์และสุราต่างประเทศมีส่วนช่วยทางเศรษฐกิจอย่างมากต่อประเทศไทย ซึ่งรวมถึง GDP ของประเทศไทยในปี 2565 มูลค่า 198 ล้านเหรียญสหรัฐ (9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้น 24 ล้านเหรียญสหรัฐ (0.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) จากปี 2564 ซึ่งสนับสนุนการสร้างงาน 20,500 ตำแหน่งและสร้างรายได้จากภาษี 292 ล้านเหรียญสหรัฐ (10.0 พันล้านบาท) ในปี 2565
  • เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากเทรนด์ “พรีเมียม” รัฐบาลควรสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมไวน์และสุราทั้งในประเทศและต่างประเทศ

นอกจากนี้รายงานยังเน้นย้ำว่า ความต้องการไวน์และสุราต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลสู่ผลิตภัณฑ์ในประเทศรวมถึงภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างกว้างขวางขึ้น นำไปสู่ผลกระทบเชิงบวกอย่างทวีคูณ อันหมายถึง โอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ในท้องถิ่น การจ้างงานที่มีมูลค่าสูง สัดส่วนของกำไรและภาษีที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมการบริการและค้าปลีก

สำหรับรายงานฉบับดังกล่าว ได้มีการเปิดเผยข้อมูลในงานเสวนาที่จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่าง APISWA และ Oxford Economics