posttoday

ยอดจัดตั้งธุรกิจใหม่ในไทยแตะ 1.3 แสนล้าน สูงสุดในรอบ 10 ปี

23 มกราคม 2567

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผยนักลงทุนไทยแห่จัดตั้งธุรกิจใหม่ ทะลุ 8.5 หมื่นราย ทุนจดทะเบียนกว่า 5.6 แสนล้านบาท ขณะที่ต่างชาติหอบเงินลงทุนไทย แตะ 1.3 แสนล้านบาท ญี่ปุ่นนำโด่ง คาด ปี67 เศรษฐกิจไทยโตต่อเนื่อง จัดตั้งบริษัทใหม่แตะ 9.5 หมื่นล้าน

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะนำข้อมูลของปีที่ผ่านมาจากคลังข้อมูลธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย DBD DataWarehouse+ มาทำการวิเคราะห์และประมวลผลภาพรวมการลงทุนในประเทศ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจประเทศในสายตานักลงทุนทั้งคนไทยและต่างชาติ รวมทั้ง นักลงทุนสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นสำหรับวิเคราะห์คู่แข่งทางการตลาดก่อนตัดสินใจลงทุน ทำให้เกิดความมั่นใจและพร้อมลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ปี 2567

 

กรมฯ ได้นำเสนอภาพรวมการลงทุนในประเทศไทยตลอดปี 2566 ประมวลผลออกมาเป็น ‘ที่สุดแห่งปี 2566 ด้านการลงทุนในประเทศไทย’ พบว่า ปี 2566 เป็นปีที่มียอดการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่สูงสุดในรอบ 10 (ปี 2557 - 2566) โดยปี 2566 มีนักลงทุนจดทะเบียนฯ จำนวนรวมทั้งสิ้น 85,300 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2565 จำนวน 8,812 ราย หรือ 12% มูลค่าทุน 562,469.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 จำนวน 132,640.83 ล้านบาท หรือ 31% ปี 2565 จัดตั้ง 76,488 ราย ทุน 429,828.81 ล้านบาท

 

เป็นการจัดตั้งนิติบุคคลในรูปแบบ บริษัทจำกัด 72,139 ราย (84.57%) ห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 13,086 ราย (15.34%) และ บริษัทมหาชนจำกัด 75 ราย (0.09%) โดยเป็นธุรกิจขนาดเล็ก SMEs จำนวน 85,233 ราย (99.92%) และขนาดใหญ่ L จำนวน 67 ราย (0.08%)  
 

ธุรกิจที่มีการจดทะเบียนจัดตั้งสูงสุด 10 อันดับแรก ได้แก่ 
1. ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 6,524 ราย (7.65%)   ทุน 13,236.72 ล้านบาท (2.35%)
2. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์   จำนวน 6,393 ราย (7.49%)  ทุน 29,289.12 ล้านบาท (5.21%)
3. ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร  จำนวน 4,001 ราย (4.69%)  ทุน 8,046.23 ล้านบาท (1.43%)
4. ธุรกิจให้คำปรึกษา  จำนวน 2,046 ราย (2.40%)   ทุน 4,034.23 ล้านบาท (0.72%)
   ด้านการบริหารจัดการอื่นๆ
5. ธุรกิจตัวแทนนายหน้า  จำนวน 1,943 ราย (2.28%)  ทุน 6,413.98 ล้านบาท (1.14%)
   อสังหาริมทรัพย์

6. ธุรกิจขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต  จำนวน 1,713 ราย (2.01%)   ทุน 2,270.84 ล้านบาท (0.40%)
7. ธุรกิจขนส่งและขนถ่ายสินค้า จำนวน 1,643 ราย (1.93%)   ทุน 2,693.93 ล้านบาท (0.48%)
   รวมถึงคนโดยสาร 
8. ธุรกิจขายปลีกสินค้า  จำนวน 1,484 ราย (1.74%)  ทุน 2,009.29 ล้านบาท (0.36%)
   ในร้านค้าทั่วไป 
9. ธุรกิจจัดนำเที่ยว  จำนวน 1,419 ราย (1.66%)  ทุน 2,702.58 ล้านบาท (0.48%)
10. ธุรกิจขายส่งสินค้าทั่วไป  จำนวน 1,084 ราย (1.27%)  ทุน 3,719.92 ล้านบาท (0.66%)

 

เมื่อทำการวิเคราะห์การจัดตั้งนิติบุคคลปี 2566 พบว่า จำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งเพิ่มขึ้นกว่า 12% ได้รับปัจจัยสนับสนุนหลักจากธุรกิจในภาคต่างๆ ทั้งธุรกิจภาคบริการ ภาคค้าส่ง/ค้าปลีก และภาคการผลิต โดยในส่วนของภาคบริการ คิดเป็น 58% ของจำนวนการจัดตั้งทั้งหมด โดยมีธุรกิจหลักที่ขับเคลื่อนให้เกิดการขยายตัวของการจดทะเบียนเพิ่มขึ้น คือ ธุรกิจกิจกรรมเกี่ยวกับแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ 366 ราย เติบโต 1.46 เท่า ธุรกิจกิจกรรมของสำนักงานจัดหางานหรือตัวแทนจัดหางาน 43 ราย เติบโต 1.39 เท่า และ ธุรกิจกิจกรรมบริการที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยได้รับค่าตอบแทนหรือตามสัญญาจ้าง 707 ราย เติบโต 1.36 เท่า 

 

ภาคค้าส่ง/ค้าปลีก คิดเป็น 32% ของจำนวนการจัดตั้งธุรกิจทั้งหมด มีธุรกิจหลักที่ขับเคลื่อนให้เกิดการขยายตัวของการจดทะเบียนเพิ่มขึ้น ได้แก่ ธุรกิจการขายปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ชนิดใช้ในครัวเรือนบนแผงลอยและตลาด 16 ราย เติบโต 2.20 เท่า ธุรกิจการขายส่งข้าวเปลือกและธัญพืช 203 ราย เติบโต 1.51 เท่า และธุรกิจการขายส่งอิฐหินปูนทรายและผลิตภัณฑ์คอนกรีต 66 ราย เติบโต 1.06 เท่า และเมื่อพิจารณาในส่วนของ ภาคการผลิต คิดเป็น 10% ของจำนวนการจัดตั้งธุรกิจทั้งหมด โดยมีธุรกิจหลักที่ขับเคลื่อนให้เกิดการขยายตัวของการจดทะเบียนเพิ่มขึ้น ได้แก่ ธุรกิจการผลิตเครื่องมือกล 18 ราย เติบโต 2.60 เท่า ธุรกิจการผลิตแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ 17 ราย เติบโต 2.40 เท่า และ ธุรกิจการผลิตส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ 88 ราย เติบโต 1.59 เท่า 


การจัดตั้งธุรกิจทั่วประเทศมีจำนวนทั้งสิ้น 85,300 ราย เป็นการจัดตั้งธุรกิจในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 25,120 ราย (29%) และ ภูมิภาค 60,180 ราย (71%) หากพิจารณาตามเขตภูมิภาค แบ่งออกเป็น 6 ภาค คือ ภาคกลาง มีสัดส่วนการจัดตั้งธุรกิจสูงสุด 17,581 ราย (20.61%) ภาคใต้ 11,675 ราย (13.69%) ภาคตะวันออก 10,948 ราย (12.83%) ภาคตะะวันออกเฉียงเหนือ 8,942 ราย (10.48%) ภาคเหนือ 8,604 ราย (10.09%) และภาคตะวันตก 2,430 ราย (2.85%) โดยทุกภาคมีอัตราการเติบโตของจำนวนการจัดตั้งที่เพิ่มสูงขึ้นจากปี 2565 ที่ผ่านมา ยกเว้น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีอัตราการเติบโตลดลงในปี 2566


ทั้งนี้ 5 ธุรกิจที่น่าสนใจและมีการอัตราการเติบโตของการจัดตั้งสูงสุด 5 อันดับแรกในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ได้แก่ 1. ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 2. ธุรกิจผับบาร์สถานบันเทิง 3. ธุรกิจขนมอบและเบเกอรี่ 4. ธุรกิจเกม ของเล่น รวมถึงโมเดลสะสม และ 5. ธุรกิจจัดหางาน

 

ขณะที่พื้นที่การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในเขตภูมิภาค ปี 2566 จังหวัดที่มีการจัดตั้งนิติบุคคลสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ จ.ชลบุรี 7,370 ราย จ.ภูเก็ต 4,983 ราย และจ.นนทบุรี 4,583 ราย โดยจังหวัดที่มีอัตราการเติบโตของจำนวนการจัดตั้งสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ จ.ภูเก็ต เติบโต 40.82% จ.สุราษฎร์ธานี เติบโต 32.16% และ จ.พังงา เติบโต 21.99% ซึ่ง 3 จังหวัดดังกล่าวอยู่ในพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญ ทั้งด้านการท่องเที่ยว การลงทุน และจังหวัดที่มีกำลังซื้อค่อนข้างสูงเช่นเดียวกับกรุงเทพมหานคร โดยธุรกิจที่น่าสนใจและมีอัตราการเติบโตของการจัดตั้งสูงสุด 5 อันดับแรกในเขตภูมิภาค ได้แก่ 1. ธุรกิจขายส่งชิ้นส่วนและอุปกรณ์จักรยานยนต์ 2. ธุรกิจเช่าจักรยานยนต์ 3. ธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ 4. ธุรกิจขนส่งทางน้ำ และ 5. ธุรกิจการเรียนการสอนด้านเทคโนโลยี

 

การเลิกประกอบธุรกิจ ปี 2566
ปี 2566 มีจำนวนธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการทั้งสิ้น 23,380 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2565 จำนวน 1,500 ราย (7%) มูลค่าทุนเลิกประกอบกิจการ 160,056.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 จำนวน 33,008.08 ล้านบาท (26%) (ปี 2565 เลิกประกอบธุรกิจ 21,880 ราย ทุน 127,048.39 ล้านบาท)
 


ประเภทธุรกิจที่มีการเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 
1. ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป  2,166 ราย (9.26%) 
2. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 1,146 ราย (4.90%) โดยเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2565 เพิ่มขึ้น 154 ราย และ 123 ราย ตามลำดับ โดยธุรกิจ 2 ประเภทนี้เป็นธุรกิจที่มีการจดทะเบียนจัดตั้งสูง และจดทะเบียนเลิกกิจการสูงทั้งคู่ เนื่องจากรูปแบบของธุรกิจที่มักจะมีการจัดตั้งนิติบุคคลตามการก่อสร้าง หรือโครงการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเมื่อโครงการสำเร็จปิดตัวลงเรียบร้อย ก็จะเลิกกิจการเพื่อไม่ให้เป็นภาระในการทำบัญชีหรือส่งงบการเงินให้กับส่วนราชการ 
3. ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร เลิกประกอบธุรกิจ 699 ราย (2.99%) เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 76 ราย ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สอดคล้องไปทิศทางเดียวกันกับจำนวนการจัดตั้งธุรกิจในปี 2566 ที่มีธุรกิจจัดตั้งสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร
 
จากข้อมูลการจดทะเบียนจัดตั้ง และการเลิกประกอบกิจการ พบว่าจำนวนการจัดตั้งธุรกิจมีการเพิ่มสูงขึ้นและมีทิศทางในทางบวกอย่างชัดเจน โดยการจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการไม่ได้สูงกว่าปกติ และแตกต่างจากจำนวนในปีก่อนๆ มากนัก

 

สำหรับ 5 ประเทศที่เป็นที่สุดของการลงทุนในประเทศไทย

ญี่ปุ่น เป็นประเทศที่เข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยเป็นอันดับ 1 ทั้งจำนวนนักลงทุนและจำนวนเงินลงทุน โดยมีนักลงทุนจำนวน 137 ราย (20.5 %) เงินลงทุนรวม 32,148 ล้านบาท (25.2%)

อันดับที่ 2 สิงคโปร์                   นักลงทุน 102 ราย (15.3%)        ทุน 25,405 ล้านบาท (19.9%)

อันดับที่ 3 สหรัฐอเมริกา            นักลงทุน 101 ราย (15.1%)         ทุน 4,291 ล้านบาท (3.4%)

อันดับที่ 4 จีน                           นักลงทุน 59 ราย (8.9%)            ทุน 16,059 ล้านบาท (12.6%)

อันดับที่ 5 ฮ่องกง                    นักลงทุน 34 ราย (5.1%)             ทุน 17,325 ล้านบาท (13.6%)

อันดับที่ 6 เยอรมนี                   นักลงทุน 26 ราย (3.9%)             ทุน 6,087 ล้านบาท (4.8%)

ยอดจัดตั้งธุรกิจใหม่ในไทยแตะ 1.3 แสนล้าน สูงสุดในรอบ 10 ปี

 

5 ประเภทธุรกิจที่นักลงทุนต่างชาติสนใจเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทย

อันดับที่ 1 บริการรับจ้างผลิต      จำนวน 136 ราย (20.4%)         ทุน 42,644 ล้านบาท (33.4%)

อันดับที่ 2 บริการด้านคอมพิวเตอร์ จำนวน 68 ราย (10.2%)          ทุน 1,434 ล้านบาท (1.1%)        

อันดับที่ 3 บริการให้คำปรึกษา     จำนวน 62 ราย (9.3%)             ทุน 7,803 ล้านบาท (6.1%)

             แนะนำ และบริหารจัดการ

อันดับที่ 4 ค้าส่งสินค้า              จำนวน 58 ราย (8.7%)             ทุน 7,873 ล้านบาท (6.2%)

อันดับที่ 5 บริการทางวิศวกรรม    จำนวน 46 ราย (6.9%)             ทุน 2,756 ล้านบาท (2.2%)

 

สำหรับ รวมธุรกิจในปี 2567 คาดว่าจะได้รับปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มฟื้นตัวตามคาดการณ์ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ได้คาดการณ์ไว้ที่ 2.7 - 3.7% และการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกไว้ที่ 2.7% สอดคล้องกับกระทรวงการคลังที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวร้อยละ 3.2 ต่อปี จากปัจจัยสนับสนุนของการบริโภคภาคเอกชน การส่งออก และภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลดีต่อธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง มาตรการภาครัฐด้านต่างๆ ที่จะช่วยส่งเสริมการบริโภคของภาคเอกชน เช่น โครงการ อี-รีฟันด์ (e-Refund) มาตรการลดหย่อนภาษี (Easy E-receipt) มาตรการแก้หนี้นอกระบบ และนโยบายสนับสนุนการสร้างพลังสร้างสรรค์ หรือ Soft Power ที่จะช่วยสร้างกระแสหรือความนิยมและมูลค่าเพิ่มให้กับเรื่องต่างๆ เป็นต้น 
 

 

ส่วนปัจจัยลบหรือความเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อการประกอบธุรกิจในปี 2567 ที่ควรจับตามอง ได้แก่ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลกที่อาจส่งผลต่อการค้าและการลงทุนโลก ความผันผวนของตลาดการเงินโลก สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น จีน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกของไทย รวมทั้ง ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติและสภาพอากาศที่แปรปรวนอาจส่งผลต่อสถานการณ์แล้งและต้นทุนราคาอาหาร นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ภาระหนี้สินต่อครัวเรือนที่สูง ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ เป็นอีกปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจในปี 2567 ได้

ข่าวล่าสุด

ตลาดหุ้นไทยปิดร่วง 12.72 จุด DELTA ฉุดดัชนี-ไร้ปัจจัยใหม่หนุน