เตือน! 'สูบบุหรี่' ทำให้มี 'ลูกยาก' และส่งผลต่อการมี 'หลานในอนาคต'
งานวิจัยเบื้องต้นแม้ยังไม่ระบุ 100% แต่มีทิศทางเดียวกันว่า การที่พ่อแม่สูบบุหรี่ จะส่งผลต่อการมี 'หลาน' หรือ 'ลูกของลูก' ในอนาคต!
KEY
POINTS
- การสูบบุหรี่ส่งผลเสียต่อระบบสืบพันธุ์ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง ทำให้มีบุตรยากขึ้น โดยในผู้หญิงจะทำให้ไข่มีคุณภาพและปริมาณลดลง ส่วนผู้ชายจะทำให้น้ำอสุจิและตัวสเปิร์มมีคุณภาพต่ำลง
- การสูบบุหรี่ลดโอกาสความสำเร็จของการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) โดยทำให้ได้ไข่น้อยลง โอกาสที่ตัวอ่อนจะฝังตัวต่ำ และเพิ่มความเสี่ยงในการแท้งบุตรอย่างมีนัยสำคัญ
- ผลกระทบจากการสูบบุหรี่สามารถส่งผลข้ามรุ่นไปถึงลูกได้ โดยอาจทำให้ลูกชายที่เกิดมามีจำนวนอสุจิน้อยลง และลูกสาวมีความเสี่ยงที่รังไข่จะเสื่อมเร็วขึ้น ซึ่งกระทบต่อการมีหลานในอนาคต
ข้อเท็จจริงจากหลายสำนัก รวมไปถึงการออกมาเตือนของ WHO หรือ องค์การอนามัยโลก ล่าสุดระบุชัดว่า 'การสูบบุหรี่' จะทำให้มีลูกยากขึ้น ทั้งชายหรือหญิง หรือแม้แต่คนที่เสียเงินหลักแสนหลักล้านไปทำ IVF การสูบบุหรี่ก็จะมีผลต่อความสำเร็จของการทำเช่นกัน
ในฝั่งผู้หญิง ข้อมูลจากแพทย์เฉพาะทางด้านเจริญพันธุ์ในสหรัฐฯ ชี้ชัดว่า คนที่สูบบุหรี่มีปัญหามีบุตรยากมากกว่าคนที่ไม่สูบถึง 2 เท่า และยิ่งสูบเยอะเท่าไหร่ ก็ยิ่งลดโอกาสมีลูกมากขึ้นเท่านั้น โดยการศึกษาที่ติดตามผู้หญิงมากกว่า 15,000 คนในสหรัฐอเมริกาพบว่า ผู้ที่สูบบุหรี่ใช้เวลานานกว่ามากในการตั้งครรภ์ บางคนพยายามมานานเกิน 6-12 เดือนแต่ก็ยังไม่สำเร็จ เนื่องจากควันบุหรี่มีสารเคมีมากกว่า 4,000 ชนิด ซึ่งหลายอย่างเป็นพิษและส่งผลโดยตรงต่อระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิง
หลายคนอาจไม่รู้ว่า ผู้หญิงเกิดมาพร้อมกับไข่จำนวนหนึ่งและจำนวนนี้จะลดลงทุกวัน การสูบบุหรี่ทำให้ไข่หมดไปเร็วขึ้น การศึกษาพบว่าผู้หญิงที่สูบบุหรี่มีระดับฮอร์โมนที่บ่งบอกถึง "สต็อกไข่" (AMH) ต่ำกว่าคนที่ไม่สูบ
โดยทุกๆ มวนบุหรี่ที่สูบเพิ่มขึ้นจะเพิ่มความเสี่ยงที่สต็อกไข่จะต่ำลง 8%
และที่น่ากังวลคือ ระดับ AMH ของคนสูบบุหรี่จะลดลงเร็วกว่าปกติถึง 21% ต่อปี
นอกจากจำนวนแล้ว คุณภาพของไข่ก็สำคัญเช่นกัน สารพิษจากบุหรี่ทำให้ไข่มีคุณภาพแย่ลง แม้แต่คนที่ไม่สูบเองแต่อยู่ใกล้คนสูบ หรือได้รับควันบุหรี่มือสอง ก็มีผลกระทบไม่ต่างกัน การศึกษาพบว่าผู้หญิงที่สูดควันบุหรี่มือสองมีโอกาสตั้งครรภ์ต่ำพอๆ กับคนที่สูบเอง
อีกทั้งอวัยวะสืบพันธุ์ถูกทำร้ายโดยไม่รู้ตัว บุหรี่ยังส่งผลต่อท่อนำไข่ ทำให้การเคลื่อนที่ของไข่ไม่ปกติ มดลูกก็ไม่พร้อมรับตัวอ่อนเท่าที่ควร ทำให้แม้จะมีการปฏิสนธิสำเร็จแล้ว ตัวอ่อนก็อาจจะฝังตัวในมดลูกไม่ได้
ในฝั่งผู้ชาย การศึกษาในผู้ชายสุขภาพดีกว่า 2,500 คน พบว่าผู้ชายที่สูบบุหรี่มีน้ำอสุจิน้อยกว่า จำนวนสเปิร์มน้อยกว่า และสเปิร์มที่ว่ายน้ำได้ดีก็มีน้อยกว่าคนที่ไม่สูบ อีกงานวิจัยหนึ่งพบว่าความเข้มข้นของสเปิร์มในผู้สูบบุหรี่ลดลงถึง 22% และยิ่งสูบเยอะยิ่งแย่
แม้แต่บุหรี่ไฟฟ้าที่หลายคนคิดว่าปลอดภัยกว่าก็ไม่ได้ดีกว่ากัน การศึกษาในผู้ชายวัยเจริญพันธุ์กว่า 2,000 คน พบว่าการสูบบุหรี่ไฟฟ้าก็ทำให้จำนวนสเปิร์มลดลงเช่นกัน
นอกจากนี้ ผู้ชายที่สูบหนักเกิน 20 มวนต่อวันมีความเสี่ยงสูงที่สเปิร์มจะมีรูปร่างผิดปกติ เช่น หัวผิดรูปหรือมีหางผิดปกติ ซึ่งสเปิร์มแบบนี้มักจะปฏิสนธิไข่ไม่ได้ ที่น่ากังวลมากกว่านั้นคือ สารพิษในบุหรี่ เช่น แคดเมียม ตะกั่ว และสารก่อมะเร็งต่างๆ ถูกพบในระดับสูงในน้ำอสุจิของผู้สูบบุหรี่ สารเหล่านี้ทำลาย DNA ของสเปิร์ม ซึ่งเชื่อมโยงกับการแท้งบุตร
IVF เสียเงินเป็นล้านก็กระทบ
สำหรับคู่ที่ต้องไปพึ่งเทคโนโลยีช่วยการมีบุตร การสูบบุหรี่ยิ่งเป็นอุปสรรคใหญ่ เพราะต้องใช้ยาเยอะขึ้น แต่ได้ไข่น้อยลง ผู้หญิงที่สูบบุหรี่ต้องใช้ยากระตุ้นรังไข่มากกว่าคนไม่สูบถึง 48 แอมพูล ในขณะที่คนไม่สูบใช้แค่ 39 แอมพูล แต่กลับได้ไข่น้อยกว่าถึง 30% และโอกาสตั้งครรภ์สำเร็จก็ต่ำกว่า 30% เช่นกัน
การศึกษาในคนที่ทำ IVF เกือบ 500 ราย พบว่าผู้หญิงที่สูบบุหรี่ขณะรับการรักษามีโอกาสที่ตัวอ่อนจะฝังตัวและตั้งครรภ์ได้ต่ำกว่าคนไม่สูบถึงครึ่งหนึ่ง และยิ่งสูบมานานเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้ไข่และตัวอ่อนน้อยลงเท่านั้น
อัตราความสำเร็จที่ต่ำลงอย่างเห็นได้ชัดจากข้อมูลจากเดนมาร์กที่ติดตามผู้หญิงกว่า 1,700 คน พบว่าผู้ที่สูบบุหรี่มีโอกาสตั้งครรภ์สำเร็จแค่ 36% ในขณะที่คนไม่สูบมีโอกาสถึง 55% ถึงแม้จะใช้ตัวอ่อนคุณภาดีเหมือนกันก็ตาม
สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้แต่ผู้ชายที่สูบบุหรี่ก็ส่งผลต่อความสำเร็จของ IVF ด้วย การศึกษาพบว่าถ้าผู้ชายสูบบุหรี่ จำนวนไข่ที่เก็บได้จะลดลงถึง 40% และถ้าสูบในสัปดาห์ก่อนทำ IVF จะได้ไข่น้อยลงถึง 46%
การศึกษาติดตาม 221 คู่เป็นเวลา 5 ปี พบว่าคู่ที่เคยสูบบุหรี่ (ไม่ว่าฝ่ายไหนหรือทั้งคู่) มีความเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์ไม่ได้สูงขึ้น 2.4 เท่า และมีความเสี่ยงที่จะไม่มีลูกเกิดมีชีวิตสูงขึ้น 3.8 เท่า สำหรับคู่ที่สูบมานานกว่า 5 ปี ความเสี่ยงพุ่งขึ้นเป็น 4.3 เท่าเลยทีเดียว
ในขณะเดียวกันผู้หญิงที่สูบบุหรี่ขณะรับการรักษา IVF มีอัตราแท้งลูกสูงถึง 73% เทียบกับผู้ไม่สูบที่มีอัตราแท้งแค่ 24%
การแท้งที่เพิ่มขึ้นนี้เกิดจากความเสียหายของ DNA ในไข่และสเปิร์ม ซึ่งทำให้ตัวอ่อนมีปัญหาเรื่องโครโมโซม งานวิจัยพบว่าผู้หญิงที่สูบบุหรี่มีโอกาสตั้งครรภ์ที่มีความผิดปกติของโครโมโซม เช่น ดาวน์ซินโดรม สูงกว่าคนไม่สูบ
ไม่ได้มีผลแค่เรา 'แต่มีผลกับลูกและหลานในอนาคต'
สิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือ แม้ผลกระทบของการสูบบุหรี่ต่อการตั้งครรภ์เป็นข้อมูลที่วงการแพทย์ยืนยันมานาน แต่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา งานวิจัยเริ่มชี้ให้เห็นมิติใหม่ที่น่ากังวลกว่าเดิม คือ ผลข้ามรุ่น ซึ่งอาจส่งผลต่อ “ความสามารถในการมีบุตร” ของลูกที่เกิดมาในอนาคต
งานวิจัยหลายฉบับพบว่า เมื่อแม่สูบบุหรี่ระหว่างตั้งครรภ์ สารเคมีจากควันบุหรี่สามารถรบกวนการพัฒนาของอัณฑะในทารกเพศชาย ทำให้เมื่อโตขึ้น ลูกชายมีแนวโน้มว่า จำนวนอสุจิลดลง, การเคลื่อนที่ของอสุจิแย่ลง, ระดับฮอร์โมนเพศต่ำกว่าปกติบางช่วงวัย ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้สัมพันธ์กับภาวะมีบุตรยากโดยตรง จึงทำให้ประเด็นนี้ถูกพูดถึงในแวดวงการแพทย์มากขึ้น
การศึกษาในทหารเกณฑ์ยุโรปเกือบ 1,800 คน พบว่าผู้ชายที่แม่สูบบุหรี่ตอนตั้งท้องจะมีสเปิร์มน้อยกว่าปกติ 20% เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ในขณะที่อีกการศึกษาหนึ่งในเดนมาร์กที่ทำกับบุตรชายผู้ใหญ่ 772 คน พบว่าลูกชายของพ่อที่สูบบุหรี่และแม่ที่ไม่สูบมีความเข้มข้นของน้ำอสุจิต่ำกว่า 10% และจำนวนสเปิร์มน้อยกว่า 11% เมื่อเทียบกับลูกชายของพ่อแม่ที่ไม่สูบบุหรี่ทั้งคู่ ถ้าทั้งพ่อและแม่สูบบุหรี่ด้วยกัน จำนวนสเปิร์มจะลดลงถึง 19%
เช่นเดียวกับในลูกผู้หญิง งานวิจัยบางส่วนชี้ว่า การสูบบุหรี่อาจส่งผลต่อการสร้างไข่ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ในครรภ์ หากจำนวนไข่ลดลงตั้งแต่แรกเกิด อาจทำให้เข้าสู่วัยหมดประจำเดือนเร็วขึ้นเล็กน้อย และมีความเสี่ยงเรื่องการมีบุตรในอนาคตเพิ่มขึ้น ซึ่งข้อมูลยังไม่ชัดเท่ากรณีเพศชาย แต่แนวโน้มเริ่มสอดคล้องกันว่ามีผลต่อความพร้อมของรังไข่ในระยะยาว
หมายความว่า การตัดสินใจสูบบุหรี่ของพ่อแม่วันนี้ ไม่เพียงส่งผลต่อความสามารถในการมีลูกของตัวเองเท่านั้น แต่ยังอาจส่งผลกระทบไปถึงความสามารถในการมีหลานในอนาคตด้วย


