กฎที่ทุกคนไม่รู้! 'เลี้ยงต้อย' ในที่ทำงาน 'สมยอม' ก็ผิด
ผู้เชี่ยวชาญเตือน ความสัมพันธ์ในที่ทำงาน กรณี หัวหน้า–ลูกน้อง ไม่ถือเป็นความยินยอมโดยสมัครใจ จัดเป็นการแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากตำแหน่ง เข้าข่ายคุกคามทางเพศ
KEY
POINTS
- การมีสัมพันธ์กับผู้ใต้บังคับบัญชาในที่ทำงาน แม้จะอ้างว่าเป็นการ "สมยอม" ก็ถือเป็นความผิด เนื่องจากมีความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกันเข้ามาเกี่ยวข้อง
- ความยินยอมของผู้ที่อยู่ในสถานะด้อยกว่า (เช่น ลูกน้อง) ไม่ถือเป็นความยินยอมที่แท้จริงได้
- การกระทำดังกล่าวผิดตามมาตรการป้องกันการล่วงละเมิดทางเพศในการทำงาน ซึ่งแม้จะไม่ถูกลงโทษในคดีอาญา แต่ผู้มีอำนาจที่กระทำผิดอาจมีโทษทางวินัยถึงขั้นถูกให้ออกจากงาน
“ผู้บริหารองค์กรใหญ่ๆ หลายคนเคยโดนพิจารณา และไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนทำนั้นผิด พูดว่าลูกน้อง สมยอม และอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมด ซึ่งเท่ากับว่าเขาเล่าหลักฐานออกมาเอง”
นัยนา สุพาพึ่ง ทนายความประจำศูนย์พิทักษ์สิทธิสตรี อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการมูลนิธิธีรนาถ กาญจนอักษร องค์กรขับเคลื่อนเรื่องความรุนแรงทางเพศ การป้องกันและแก้ไขปัญหาการคุกคามทางเพศในสังคมไทย กล่าวในการฝึกอบรม "หลักสูตรการฝึกอบรมสื่อมวลชนเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมการสื่อสารด้วยความยินยอมทางเพศ" (Workshop for the Media to Promote a Culture of Sexual Consent Communications) ณ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 พ.ย.ที่ผ่านมา
ทำไมถึงผิด? หลายคนอาจสงสัย
หากพูดถึงกระบวนการยุติธรรมกับ ‘คดีการคุกคามทางเพศ’ นั้นเรียกได้ว่า ยังคงเป็นปัญหา
คดีล่วงละเมิดทางเพศ ที่ขึ้นไปสู่กระบวนการยุติธรรมในชั้นศาล มีอัตราเพียงเล็กน้อยเท่านั้นของการถูกแจ้งความ บางครั้งผู้ที่ถูกคุกคามยอมถอยจากกระบวนการยุติธรรม
“ ผู้เสียหายจะต้องเผชิญกับอุปสรรคและความบอบช้ำในกระบวนการยุติธรรม ถูกซักถามถึงรายละเอียดที่น่าอับอาย และภาระการพิสูจน์ตกอยู่กับผู้ถูกกระทำ ว่าตนถูกข่มขืนอย่างไร ในขณะที่ประเทศอังกฤษ กระบวนการยุติธรรมในกรณีดังกล่าวจะเป็นภาระของผู้ถูกกล่าวหา ว่าต้องพิสูจน์ว่าตนเองไม่ได้ทำอย่างไร”
นัยนา ซึ่งคร่ำหวอดอยู่ในกระบวนการยุติธรรมในประเด็นดังกล่าว เน้นย้ำว่า การดำเนินงานในคดีอาญาในประเด็น ‘คุกคามหรือล่วงละเมิดทางเพศ’ แม้จะมีการแก้ไขกฎหมายมาหลายครั้ง แต่กระบวนการยุติธรรมและแม้แต่กระบวนการของศาลก็ยังคง ‘ขาดความละเอียดอ่อนในมิติทางเพศ’
หากอ้างอิงถึงงานวิจัยเรื่อง ‘เพศวิถี’ ซึ่งศึกษาคำวินิจฉัยของศาลย้อนหลัง 50 ปี จะพบว่าศาลมักมุ่งจะพิสูจน์ด้วย ‘หลักฐาน’ เพียงอย่างเดียว
การวินิจฉัยนั้นจะดูว่า ‘ยินยอมหรือไม่’ ซึ่งเป็นจุดชี้ขาดความสำคัญในคดีล่วงละเมิดทางเพศ
แต่บ่อยครั้งที่ “คดีแบบนี้เกิดขึ้นรู้กันเพียง 2 คน จึงต้องอาศัยพยานแวดล้อม” อันเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการหาพยานหลักฐาน
กว่าจะมีการแจ้งความ ระยะเวลาก็ล่วงเลยไปแล้ว หลักฐานทางกายภาพก็หายไป การพิสูจน์จึงทำได้ลำบาก ยังไม่รวมกับ สาเหตุส่วนสำคัญอีกประการหนึ่งคือ เพราะ ‘กลัวว่ากระบวนการยุติธรรมจะเอาผิดไม่ได้’ บางคนกลัวว่าจะ 'กระทบต่อชีวิตและการทำงาน' ในภายหลัง จึงไม่แจ้งความ
ความสำเร็จของการดำเนินคดีอาญากับกรณี การคุกคามทางเพศ จึงมีสถิติที่น้อยกว่าที่ควรจะเป็นที่จะไปสู่คดีในชั้นศาล! เพราะคดีอาญาต้องมีการตีความอย่างเคร่งครัด และมีหลักฐานที่ชัดเจนเพียงพอ
เมื่อเอาผิดคดีอาญาไม่ได้ ไทยจึงต้องหา ‘มาตรการป้องกัน’
เมื่อพูดถึงเรื่อง ‘คุกคามทางเพศ’ เคยมีการสำรวจความคิดเห็นทั่วประเทศจาก ‘นิด้าโพล’ ในปี 2563 พบว่าเคยมีผู้ถูกลวนลามหรือล่วงละเมิดทางเพศ คิดเป็นร้อยละ 13.28 ในขณะเดียวกันหากย้อนไปไกลถึงปี 2554 ซึ่งเคยมีการศึกษาถึงการล่วงละเมิดทางเพศและความรุนแรงในสถานประกอบการ ครอบครัว โรงงาน พบว่าร้อยละ 43 เคยถูกล่วงละเมิดทางเพศมาก่อน
ปัญหาการคุกคามทางเพศในที่ทำงาน จึงเป็นปัญหาใหญ่ที่ควรได้รับการแก้ไข
ประเทศไทยในช่วงปี 2563 ได้รับอิทธิพลจากองค์การระหว่างประเทศ โดยเฉพาะจากอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีทุกรูปแบบหรือ CEDAW และอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 190 รวมถึงกระแสสังคม #MeToo ซึ่งมีผู้มีชื่อเสียงออกมาเปิดโปงพฤติกรรมของผู้จ้างวาน หรือผู้มีอำนาจในการทำงาน ใช้ ‘อำนาจ’ ในการข่มขืน
โดยให้องค์ประกอบสำคัญในการพิสูจน์ว่าการกระทำใดเข้าข่ายการคุกคามทางเพศหรือไม่
ควรจะขึ้นอยู่กับ ‘ความรู้สึกของผู้ถูกกระทำเป็นหลัก’
ในปี 2563 ไทยจึงได้มีการลงมติจากคณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการ ร่างมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศในการทำงาน เกิดขึ้นซึ่งเป็นมาตรการสำคัญที่หลายคนไม่เคยล่วงรู้มาก่อน และทำให้ขาดโอกาสที่จะปกป้องตนเอง!
“ แนวปฏิบัติที่เป็นกฎหมายแรงงานอันนี้ เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นมาแล้วก็ไล่ตามแก้ เราจะต้องมีนโยบายและมาตรการในทุกๆ สถานที่ทำงาน” นัยนาเน้นย้ำความสำคัญของกฎหมายดังกล่าว
‘สมยอม’ ก็ผิดได้
มีหลายครั้งที่มีการกล่าวแก้ต่างว่า เป็นการ ‘สมยอม’ ทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งหากเป็นคดีอาญาที่มุ่งพิสูจน์ว่า ‘ยินยอมหรือไม่’ ก็จะจบลงแบบเดิม คือต้องหาพยานหลักฐานพิสูจน์ ซึ่งยากเต็มทน!
แต่หากเป็นกรณีที่เกิดขึ้นในที่ทำงาน สามารถใช้กฎหมายฉบับนี้ ซึ่งผ่านมติครม. ได้เลยในทันที
มาตรการนี้ตั้งอยู่บนแนวคิดที่ว่า การคุกคามทางเพศ จะตั้งอยู่บนพื้นฐานของ ‘อำนาจ’ เป็นสำคัญ
คือ เมื่อมีการคุกคาม ก็จะต้องมีฝ่ายหนึ่งที่มองว่าตนมีอำนาจเหนือกว่าอีกฝ่าย บังคับหรือจูงใจให้อีกฝ่ายทำตามที่ตนต้องการ แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่อยากทำ หรือต้องยอมทำแม้ว่าจะไม่ได้ชอบก็ตาม
เมื่อ ‘อำนาจ’ เหล่านั้นถูกนำมาใช้ในบริบทของหน้าที่การงาน
นัยนาอธิบายว่า กรณีนี้โดยเฉพาะระหว่างผู้มีอำนาจ (เช่น หัวหน้างาน, ผู้บริหาร) กับผู้ใต้อำนาจ (เช่น ลูกน้อง, ผู้สมัครงาน) มีความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกันอยู่ ซึ่งอำนาจนี้ส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจของฝ่ายที่ด้อยอำนาจกว่า
ทำให้การ ‘ยินยอม’ ที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ใช่ความยินยอมที่เกิดจากเจตจำนงเสรีอย่างแท้จริง
แต่เกิดจากความกดดันหรือความคาดหวังบางอย่าง
" การแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากงาน... การล่วงเกินหรือคุกคามทางเพศชนิดนี้เป็นการล่วงเกินทางเพศโดยตรงที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดรูปแบบหนึ่ง โดยใช้การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ หรือการใช้อำนาจให้คุณให้โทษจากงาน เพื่อให้ได้มาซึ่งความพึงพอใจทางเพศของอีกฝ่ายหนึ่ง... การล่วงละเมิดทางเพศนี้ มักเป็นการกระทำของผู้มีอำนาจกับผู้ด้อยอำนาจ ”
เพราะฉะนั้นการให้เหตุผลว่าอีกฝ่าย ‘สมยอม’ จึงฟังไม่ขึ้นนั่นเอง
อีกประเด็นสำคัญ คือ เมื่อเกิดการแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากงานแล้ว ล้วนกระทบต่อองค์กร!
การศึกษาขององค์การแรงงานระหว่างประเทศระบุว่า ผลจากการกระทำไม่ได้ตกอยู่ที่ผู้ถูกกระทำอย่างเดียว แต่จะเกิดความตึงเครียดในที่ทำงาน ผลผลิตตกต่ำ กระทบต่อกระบวนการทำงานในองค์กรและประสิทธิภาพการทำงานและคุณภาพของงาน
และหากมีการคุกคามทางเพศเกิดขึ้นในลักษณะนี้บ่อยๆ ย่อมชี้ว่า องค์กรนั้นไม่มีความเสมอภาคทางเพศ
นัยนากล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้มีการใช้มุม ‘เศรษฐกิจ’ เข้ามาจับ และพบว่า
“ องค์กรเป็นผู้เสียหาย เพราะฉะนั้นองค์กรจะอยู่เฉยๆ ได้ยังไง เพราะองค์กรมีคนอย่างนี้อยู่ไง องค์กรจึงเปิดช่องให้เกิดการกระทำการแสวงหาประโยชน์ทางเพศแบบนี้... แล้วพวกเขาก็เลยเกิดความเสียหายขึ้น"
ผลลัพธ์การดำเนินการในลักษณะนี้ แม้ว่าจะไม่ได้รับการลงโทษในคดีอาญา แต่ก็มีโทษถึงขั้น ‘ถูกให้ออกจากงาน’
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจะเห็นว่า กฎหมายดังกล่าวให้ความคุ้มครองผู้ถูกกระทำ ที่มีอำนาจน้อยกว่าในที่ทำงานเป็นอย่างสูง แม้จะเคยได้คุณ-โทษกันมา แล้วเข้ามาร้องเรียนภายหลัง แต่กฎหมายนี้มุ่งตัดสินผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า
เหตุผลก็เพราะว่า มาตรการดังกล่าวเป็นไปเพื่อ ‘ป้องกัน’ ความเสียหาย
และคอยเตือนว่า หากใครอยู่ในจุดที่มี ‘อำนาจเหนือกว่า’ ก่อนจะตัดสินใจทำอะไรก็ควรจะคิดและไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน เป็นดีที่สุด!
………..
กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวให้ข้อมูล สำหรับใครอยากจะร้องทุกข์
หน่วยรับเรื่องร้องทุกข์นั้น สามารถแบ่งได้เป็น 2 ส่วนคือ
ภายในหน่วยงาน ได้แก่
- ผู้บังคับบัญชาทุกระดับ
- กลไกการรับเรื่องร้องทุกข์ภายในหน่วยงาน
ภายนอกหน่วยงาน ได้แก่
- ศูนย์ประสานการป้องกันและแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศในการทำงาน (ศปคพ.) กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว
- สำนักงาน ก.พ.
- คณะกรรมการการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ประจำกระทรวง ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ พ.ศ.2552
- คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามมาตรา 26 พระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.2560
.....
อ้างอิง
คู่มือมาตรฐานในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศในการทำงาน


