งานวิจัยพบ ผลพลอยได้ของ ‘วัคซีน mRNA’ อาจเพิ่มอัตรารอดชีวิตจากมะเร็งได้นานขึ้น
งานวิจัยในหนูทดลองล่าสุด เผย ‘วัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA’ ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกาย อาจทำให้ผู้ป่วยมะเร็งบางชนิดมีอัตรารอดชีวิตนานกว่า หากเคยได้รับวัคซีน!
KEY
POINTS
- งานวิจัยพบว่าวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA อาจมีผลพลอยได้ในการช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งปอดและมะเร็งผิวหนัง
- วัคซีนทำหน้าที่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันทั่วร่างกายให้ตื่นตัว ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของยารักษามะเร็งกลุ่มเช็คพอยต์อินฮิบิเตอร์ (checkpoint inhibitors) ในการกำจัดเซลล์มะเร็ง
- การวิเคราะห์เวชระเบียนผู้ป่วยพบว่า กลุ่มที่ได้รับวัคซีน mRNA ร่วมกับการรักษามีอายุเฉลี่ยยืนยาวกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับวัคซีนอย่างมีนัยสำคัญ
- งานวิจัยนี้ยังอยู่ในขั้นทดลองกับหนูและวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ซึ่งต้องรอการทดลองทางคลินิกในมนุษย์เพื่อยืนยันผลต่อไป
วารสาร Nature เปิดเผยผลงานวิจัย (วันที่ 22 ตุลาคม 2568) ที่ทำวิจัยกับหนูทดลองพบว่า วัคซีนโควิด 19 ชนิด mRNA กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันทางร่างกาย โดยงานวิจัยเผยว่า อาจทำให้ผู้ป่วยมะเร็งบางชนิดมีอัตราการรอดชีวิตนานกว่าหากเคยได้รับวัคซีนโควิด 19 ชนิด mRNA
การทดลองอย่างต่อเนื่องในหนูทดลองแสดงให้เห็นว่า วัคซีนกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันทั้งร่างกายให้ตื่นตัวขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของยารักษามะเร็งกลุ่มที่เรียกว่า เช็คพอยต์อินฮิบิเตอร์ (checkpoint inhibitors) ทำหน้าที่เหมือนสัญญาณเตือนภัย ที่ปลุกระบบภูมิคุ้มกันทั่วทั้งร่างกายรวมถึงภายในก้อนเนื้อมะเร็ง ให้เริ่มสร้างการตอบสนองเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง ซึ่งทีมวิจัยตั้งเป้าจะทดสอบผลนี้ในการทดลองทางคลินิกเพื่อยืนยันอีกครั้ง โดยผลดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า วัคซีน mRNA อาจจะมีศักยภาพแฝงมากกว่าที่คิด
ผลการวิเคราะห์เวชระเบียน พบ ผู้ป่วยมะเร็งปอดบางชนิดที่ได้วัคซีนโควิด mRNA มีอายุยืนกว่าเฉลี่ย 4 เดือน
ทีมของ นายอดัม กริปปิน (Adam Grippin) แพทย์รังสีรักษามะเร็งจากศูนย์มะเร็งเอ็มดีแอนเดอร์สัน (MD Anderson Cancer Center) ในรัฐเท็กซัส และผู้เขียนร่วมงานวิจัยซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Nature ได้ระบุว่า ยากลุ่มเช็คพอยดต์อินฮิบิเตอร์ ทำหน้าที่ปลุกระบบภูมิคุ้มกันให้กลับมาทำงานได้เต็มที่อีกครั้ง ( ปกติเซลล์มะเร็งจะมีกลไกไม่ให้ถูกโจมตี ยากลุ่มนี้จะทำหน้าที่ปลอดล็อก เพื่อให้ภูมิคุ้มกันกลับมาโจมตีมะเร็งได้)
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมายากลุ่มนี้ ใช้ไม่ได้ผลกับผู้ป่วยกว่าครึ่ง เพราะภูมิคุ้มกันของร่างกายผู้ป่วยไม่แข็งแรงพอ
นักวิจัยจึงพยายามพัฒนาวัคซีนมะเร็งเฉพาะบุคคล ขึ้นมาแทน เพื่อช่วยให้ร่างกายเรียนรู้ที่จะโจมตีเซลล์มะเร็งของตัวเองร่วมกลุ่มดังกล่าว ซึ่งเทคโนลยียังอยู่ในขั้นทดลองและอาจมีราคาสูง
ทางทีมของกริปปินจึงคิดว่า หากใช้แค่วัคซีน mRNA ทั่วไปมากระตุ้นภูมิคุ้มกันอาจช่วยผู้ป่วยได้หรือไม่
โดยมีการสังเกตและวิเคราะห์เวชระเบียนของผู้ป่วยกว่า 1,000 คน ที่เป็นมะเร็งปอดและมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา พบว่า
- ผู้ป่วยมะเร็งปอดบางชนิดที่ได้รับวัคซีนโควิด mRNA มีอายุเฉลี่ยยืนยาวขึ้น จาก 21 เดือนเป็น 37 เดือน
- ผู้ป่วยมะเร็งเมลาโนมาที่ไม่ได้รับวัคซีนมีชีวิตเฉลี่ย 27 เดือน แต่ในกลุ่มที่ได้รับวัคซีน ยังไม่สามารถคำนวณอายุเฉลี่ยการรอดชีวิตได้ เพราะหลายคนยังมีชีวิตอยู่จนจบช่วงเก็บข้อมูล
- กลุ่มที่ปกติไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยามะเร็งกลับได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการฉีดวัคซีน
นอกจากนี้ เวลาฉีดวัคซีนก็สำคัญ โดยวารสารระบุว่า ผู้ป่วยที่ได้รับวัคซีนภายใน 100 วัน หลังเริ่มรักษามีแนวโน้มได้ผลดีกว่าคนที่ฉีดห่างกว่านั้น และข้อมูลเบื้องต้นของกริปปินยังชี้ว่า การฉีดภายใน 30 วันก่อนหรือหลังการรักษา อาจยิ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งผลนี้ไม่พบในวัคซีนแบบอื่น เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่หรือวัคซีนปอดอักเสบ และไม่เกิดในผู้ป่วยที่ไม่ได้ใช้ยากลุ่มเช็คพอยต์อินฮิบิเตอร์
การทดลองในหนูยังช่วยอธิบายกลไกเบื้องหลังได้อีกว่า วัคซีน mRNA ซึ่งบรรจุอยู่ในอนุภาคไขมันเล็ก ๆ สามารถเข้าสู่เซลล์และกระตุ้นภูมิคุ้มกันอย่างแรง วัคซีนจึงไปกระตุ้น ‘เซลล์นักฆ่า’ (killer cells) ให้ไล่ล่าและทำลายเซลล์มะเร็ง ซึ่งยากลุ่มเช็คพอยต์อินฮิบิเตอร์จะช่วยเสริมให้กลไกนี้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ศักยภาพในอนาคตที่ต้องรอการพิสูจน์
แม้ว่าการใช้วัคซีนโควิด mRNA อาจมีผลลัพธ์ในหนูทดลองที่อาจช่วยยืดอายุผู้ป่วยมะเร็งหลากหลายชนิดได้ แต่กริปปินบอกว่า นักวิจัยไม่ควรเลิกเลิกพัฒนาวัคซีนมะเร็งเฉพาะบุคคล หากผลนี้ยืนยันได้จริงในคน วัคซีนทั้งสองรูปแบบอาจใช้ร่วมกันได้ คือ วัคซีนหนึ่งเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันทั่วไป และอีกชนิดเพื่อสอนร่างกายให้โจมตีเซลล์มะเร็งโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นการใช้ศักยภาพของวัคซีนที่มีใช้อยู่ทั่วโลกและราคาถูกอยู่แล้ว มาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพ
***** หมายเหตุ: งานวิจัยนี้ยังอยู่ในขั้นต้น เป็นเพียงการวิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลังจากผู้ป่วย จึงยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดว่าวัคซีนเป็นสาเหตุที่ช่วยยืดอายุผู้ป่วยจริง เพราะอาจมีปัจจัยอื่นเกี่ยวข้อง เช่น สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย หรือช่วงเวลาที่เริ่มรักษา อีกทั้ง ข้อมูลเป็นการวิเคราะห์เวชระเบียนและการทดลองในสัตว์ ยังต้องมีการทดลองทางคลินิก (การทดลองในมนุษย์) เพื่อยืนยันว่าเป็นสาเหตุและปลอดภัย ก่อนจะเปลี่ยนแนวปฏิบัติทางการรักษา
ข้อมูลอ้างอิง
https://www.nature.com/articles/d41586-025-03432-7


