posttoday

เห็นชอบ! บรรจุ 'วัคซีนปอดอักเสบ' สิทธิประโยชน์คนไทย

16 ตุลาคม 2568

คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบบรรจุวัคซีนป้องกันเชื้อก่อโรคปอดอักเสบและเยื่อหุ้มสมอง เข้าสู่ชุดสิทธิประโยชน์ของคนไทย!

คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบให้บรรจุ วัคซีน PCV ป้องกันเชื้อก่อโรคปอดอักเสบและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 

นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2568 โดยมี นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.มณเฑียร คณาสวัสดิ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และคณะกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม โดยนายพัฒนากล่าวว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบ 2 ประเด็นสำคัญ ได้แก่

1. นโยบายการให้วัคซีนปี 2569 ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศ  โดยมอบหมายให้กรมควบคุมโรคประสาน สปสช. ในการบรรจุวัคซีน PCV ป้องกันเชื้อก่อโรคปอดอักเสบและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และการขยายกลุ่มเป้าหมายวัคซีนไข้หวัดใหญ่จากเดิมในเด็กอายุ 6 เดือน - ต่ำกว่า 3 ปี เป็นถึงอายุต่ำกว่า 5 ปี เพื่อให้เด็กอายุ 4 – 5 ปี ซึ่งพบอัตราป่วยตายสูงได้อยู่ในสิทธิประโยชน์ พร้อมทั้งจัดหาวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่เพิ่มเติมจาก 6 ล้านโดส เป็น 8 ล้านโดส เพื่อป้องกันโรคให้ครอบคลุมกลุ่มเสี่ยงมากขึ้น และ

2. แนวทางการเชื่อมโยงข้อมูลสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคให้เกิดความครอบคลุม ทั้งสถานพยาบาลของภาครัฐทั้งในและนอกกระทรวงสาธารณสุข และส่วนท้องถิ่น รวมถึงประสานกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ซึ่งดูแลสถานพยาบาลภาคเอกชน เพื่อกำหนดวิธีเชื่อมโยงข้อมูลฯ ภายใต้ พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ข้อมูลความครอบคลุมของวัคซีนมีความน่าเชื่อถือ และนำไปใช้ในการวางแผนการป้องกันควบคุมโรค ตามเป้าหมายการกำจัดกวาดล้างโรคและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDG )

 

 

นายพัฒนากล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ได้ติดตามการดำเนินงานที่สำคัญ อาทิ การส่งเสริมการใช้ข้อมูลชีวภาพ (Biometric) ในการยืนยันตัวตนของแรงงานต่างด้าว เพื่อให้เข้าถึงบริการได้สะดวก ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลของรัฐ และเพิ่มประสิทธิภาพในการเฝ้าระวังและควบคุมโรคในพื้นที่เสี่ยง

ในเดือนตุลาคม 2568 ได้นำร่อง 10 จังหวัด ได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี สระบุรี นครนายก ชลบุรี สมุทรปราการ จันทบุรี สระแก้ว ระยอง และตราด ล่าสุดขยายไปจังหวัดที่มีความพร้อมแล้ว 29 จังหวัด และจะผลักดันให้ครอบคลุมทั่วประเทศต่อไป

ส่วนการตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบบี ในปี 2568 คัดกรอง 3,767,578 ราย พบผลบวก 93,289 ราย เข้าสู่การรักษาแล้ว 160,112 ราย ไวรัสตับอักเสบซี คัดกรอง 3,536,566 ราย พบผลบวก 35,182 ราย ได้รับยาแล้ว 7,134 ราย

สำหรับสถานการณ์โรคติดต่อสำคัญ พบแนวโน้มผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ และโรคทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัส RSV เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ ขอให้ประชาชนดูแลสุขภาพ หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด และรีบพบแพทย์หากมีอาการไข้ ไอ หรือหอบเหนื่อย เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน รวมทั้งยังพบแนวโน้มผู้ป่วยโรคซิฟิลิสเพิ่มขึ้น จึงให้เร่งดำเนินการตรวจรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องด้วย

ส่วนการปรับปรุงกฎหมายโรคติดต่อให้สอดคล้องกับบริบทปัจจุบันและมาตรฐานสากลซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ เมื่อแล้วเสร็จจะทำให้ประเทศไทยมีเครื่องมือทางกฎหมายที่พร้อมรับมือโรคติดต่อในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

 

'ปอดอักเสบ' อันตรายใกล้ตัว ที่คนไทยมองข้าม

 

จาก  ข้อมูลสถิติผู้ป่วย 'โรคปอดอักเสบ' จากกรมควบคุมโรค (แถลง20มี.ค.68) รายงานว่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 14 มีนาคม 2568 มีผู้ป่วยสะสม 111,552 ราย ผู้เสียชีวิต 149 ราย กลุ่มอายุที่พบอัตราป่วยมากที่สุดคือ กลุ่มอายุ 0-4 ปี ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป

 

ทั้งนี้ จากข้อมูลในรายงานสถิติสาธารณสุข พ.ศ. 2566 พบว่าโรคปอดบวม เป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่สำคัญ และถูกจัดอยู่ใน อันดับที่ 3 ของสาเหตุการตายที่สำคัญในประเทศไทย  รองจากโรคมะเร็ง และโรคหลอดเลือดสมอง

โดยในปี 2566 มีจำนวนผู้เสียชีวิต 37,595 คน คิดเป็นอัตรา 57.8 ต่อประชากร 100,000 คน

 

กองโรคติดต่อทั่วไป  กรมควบคุมโรค ให้ข้อมูลกับ โพสต์ทูเดย์  ไว้ว่า โรคปอดอักเสบ (Pneumonia) เกิดจากการติดเชื้อที่ปอด ซึ่งทำให้เนื้อเยื่อปอดอักเสบและทำงานผิดปกติ โดยสาเหตุหลัก ๆ ของโรคนี้ เกิดได้จาก 2 สาเหตุ ได้แก่

  1. การติดเชื้อ เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด ชนิดของเชื้อที่เป็นสาเหตุขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น กลุ่มอายุ อาชีพ โรคประจำตัว ภาวะภูมิคุ้มกัน ประวัติการเดินทางต่างประเทศ การสูบบุหรี่ และสภาพแวดล้อมเช่น เชื้อไวรัส ได้แก่ Respiratory Syncytial Virus (RSV), ไข้หวัดใหญ่ (Influenza virus), ไวรัสโคโรนา (Coronavirus)  เชื้อแบคทีเรีย ได้แก่ Streptococcus Pneumoniae, Haemophilus Influenzae, และเชื้อราซึ่งพบน้อย
  2. ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ แต่เกิดจากปัจจัยที่ทำให้เนื้อเยื่อปอดเกิดการอักเสบหรือระคายเคือง เช่น ฝุ่น ควัน สารเคมีที่ระเหยได้ การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาเคมีบำบัด และยาที่ใช้ควบคุมการเต้นของหัวใจ เป็นต้น

ทั้งนี้ การรักษาโรคปอดอักเสบจะขึ้นอยู่กับสาเหตุ เช่น การใช้ยาปฏิชีวนะสำหรับการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือการใช้ยาต้านไวรัสสำหรับการติดเชื้อไวรัสบางชนิด

 

สำหรับสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคปอดอักเสบ (Pneumonia) หรือการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ มีหลายปัจจัยที่สามารถเพิ่มความเสี่ยงได้ เช่น

  • การอาศัยอยู่ในสถานที่แออัด  การอยู่ในพื้นที่ที่มีการรวมตัวของผู้คนจำนวนมาก เช่น โรงเรียน, โรงพยาบาล, ค่ายทหาร, หรือหอพัก จะเพิ่มโอกาสในการแพร่กระจายของเชื้อโรค โดยเฉพาะในช่วงที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อ
  • มลพิษทางอากาศ  ฝุ่นละอองและมลพิษจากการเผาไหม้: มลพิษจากรถยนต์, โรงงาน, หรือการเผาขยะ สามารถทำให้ระบบทางเดินหายใจระคายเคือง และเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ รวมทั้งปอด
  • สารเคมีที่ฟุ้งในอากาศ เช่น สารเคมีจากอุตสาหกรรมหรือการใช้สารเคมีในบ้าน ซึ่งอาจทำลายเนื้อเยื่อทางเดินหายใจ รวมทั้งปอด และเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ
  • ภูมิอากาศ  ความชื้นและอากาศที่เย็นจัดทำให้เชื้อโรคสามารถเจริญเติบโตได้ดี และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง โดยเฉพาะในฤดูฝนหรือฤดูหนาวที่มีอุณหภูมิที่ต่ำ

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด อาร์เซน่อล พบ วูล์ฟ พรีเมียร์ลีก วันนี้ 13 ธ.ค.68