เข้าใจรากเหง้าของ Longevity ไม่ใช่แค่ ‘หน้าแก่’ หรือ ‘อาหารเสริม’
เข้าใจรากเหง้าของ Longevity ที่ไม่ใช่แค่เรื่อง ‘หน้าแก่’ หรือ ‘อาหารเสริม’ และทิศทางของ Longevity ที่ทำให้เราไม่ตกอยู่ในบ่วงขายฝัน!
KEY
POINTS
- ความเข้าใจเรื่อง Longevity ไม่ใช่แค่การชะลอวัยหรืออาหารเสริม แต่คือการทำความเข้าใจกลไกความเสื่อมของร่างกายในระดับเซลล์
- รากฐานทางวิทยาศาสตร์ของความชราอธิบายได้ด้วยทฤษฎี "Hallmarks of Aging" ซึ่งระบุ 14 กลไกหลักที่ทำให้ร่างกายเสื่อมสภาพ
- แนวทาง Longevity สมัยใหม่ต้องอาศัย "Longevity Science" ที่เน้นนวัตกรรมซึ่งมีหลักฐานทางคลินิกและงานวิจัยรองรับ ซึ่งแตกต่างจากผลิตภัณฑ์สุขภาพทั่วไป
คำว่า ‘Longevity’ ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในประเทศไทยสำหรับช่วงเวลานี้ ผ่านการออกมาพูดของบุคคลสำคัญ หรือบุคคลที่มีอิทธิพลด้านความคิดของสังคมยุคใหม่
อย่างไรก็ตาม ความเข้าใจของคนไทยกับประเด็น Longevity นั้น อยู่ในเส้นทางที่ถูกต้องหรือไม่? ยังเป็นสิ่งที่ โพสต์ทูเดย์ อยากจะชวนทำความเข้าใจร่วมกัน
แน่อนว่า Longevity คำนี้เมื่อถูกพูดถึง ในอดีตจะโดนผูกติดอยู่กับแนวคิด ‘ชะลอวัย’ หรือ ‘anti-aging’ พอเป็นแบบนั้น แนวคิดนี้จึงถูกผูกกับผลิตภัณฑ์ความงาม อาหารเสริม หรือเทรนด์คนรักสุขภาพเรื่อยมา พัฒนาขึ้นหน่อย ก็มักจะมีคำพูดว่า ‘Wellness’ เข้ามารับรอง
แต่สิ่งเหล่านี้ บางอย่างไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ชัดเจน มารองรับเลยแม้แต่น้อย
อย่างเช่นกรณีของคุณท็อป จิรายุส แห่งบิทคับ ซึ่งได้ออกมาพูดถึงประเด็นนี้ ในงาน TNN Tech Forum 2025 Disigning Your Longevity ว่า
“ ที่ศึกษา Longevity ใช้เงินไปเยอะมาก ปีนึง 5 ล้าน 2 ปี 10 ล้าน ผมทดลองมาหมดแล้ว จนถึงฟอกเลือด ทัวร์ลงมาหมดแล้ว หลาย ๆ เรื่อง สเต็มเซลล์ ทุกทรีตเมนต์ที่มีผมทำมาหมดแล้ว ปรากฎว่าทั้งหมดแค่ 20% มันคือ fancy stuff สิ่งที่มัน work จริง ๆ คือ 80% ...คือสิ่งที่ไม่ต้องใช้เงิน ใช้ความพยายาม”
หมายความว่าผลิตภัณฑ์ หรือแนวคิดด้าน Longevity ที่มีบนโลกใบนี้ ไม่ใช่ทุกอย่างที่เกิดผลและมีประสิทธิภาพจริงๆ!
ท่ามกลาง 'เทรนด์' ที่ต่างจับจ้องมาที่ 'Longevity' เพราะมีการคาดการณ์มูลค่าตลาดนี้ไว้ในภาพรวมทั้งหมดแตะหลักหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ซึ่งแน่นอนว่ารวม Fancy Stuff อย่างที่คุณท็อปพูดอยู่ด้วย
คำถามคือ เราควรจะเข้าใจและให้เครดิตกับ Longevity แบบไหน ถึงจะไม่แฟนซีเกินไป?
12 ข้อ แก่นของความชราที่เป็นพื้นฐานสำคัญของนวัตกรรมด้าน Longevity
ต้องบอกก่อนว่าแต่เดิมมนุษย์เคยเชื่อว่า ‘ความแก่’ เป็นกระบวนการธรรมชาติที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ แต่ในศตวรรษนี้ นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากกลับมองต่างออกไป พวกเขาเชื่อว่าความชรามี ‘กลไก’ ที่วัดได้ แทรกแซงได้ และอาจ ‘ย้อนกลับบางส่วน’ ได้ด้วยเทคโนโลยีทางชีวภาพที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
และได้เซ็ตมาตรฐานคำว่า ‘ชรา’ ในมุมมองของนักวิทยาศาสตร์ ที่ไม่ใช่แค่เรื่อง ร่างกายอ่อนแอหรือความเหี่ยวของเนื้อหนัง แต่คือ ‘กระบวนการเสื่อมระดับเซลล์’ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับแนวคิดสำคัญที่คนมักจะนำมาอ้างถึงเมื่อพูดถึงเรื่อง Longevity และเป็นเหมือน ‘พิมพ์เขียว’ ที่บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพที่อยากจะพัฒนานวัตกรรมขึ้นมาจัดการหลายแห่ง ใช้เพื่อออกแบบการรักษาใหม่ๆ ก็คือ Hallmarks of Aging
ทฤษฎีดังกล่าวเริ่มต้นในปี 2013 จากงานของ López-Otín และคณะ ซึ่งระบุ 9 กลไกหลักของความชรา ได้แก่
1. ความไม่เสถียรของสารพันธุกรรม (Genomic instability) เกี่ยวกับสารพันธุกรรมหรือ DNA ที่เกิดความเสียหายจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอก เช่น รังสี สารเคมีหรือการแบ่งเซลล์ จนทำให้เกิดโรค เช่น มะเร็ง หรือความเสื่อมของเนื้อเยื่อ
2. การเสื่อมของเทโลเมียร์ (Telomere attrition) การแบ่งเซลล์ ทำให้โครโมโซมสั้นลงทุกครั้ง และเมื่อมันสั้นเกินไปเซลล์เหล่านั้นจะหยุดการแบ่งตัวและกลายเป็น ‘เซลล์ชรา’
3. การเปลี่ยนแปลงของอีพีเจเนติกส์ (Epigenetic alterations) การเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ยีนทำงานผิดปกติ เพราะยีนจำไม่ได้ว่าเคยทำงานแบบไหน
4. การสูญเสียการควบคุมโปรตีน (Loss of proteostasis) เกิดการสะสมของโปรตีนผิดปกติ ทำให้เกิดโรค เช่น อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน หรือโรคหัวใจ
5. การตรวจจับสารอาหารผิดปกติ (Deregulated nutrient sensing) เป็นเซลล์ที่ตอบสนองต่ออาหารไม่เหมาะสม นำไปสู่การอักเสบและภาวะอินซูลินเกิน เสี่ยงต่อโรคอ้วน หรือเบาหวาน
6. ความผิดปกติของไมโทคอนเดรีย (Mitochondrial dysfunction) เซลล์ผลิตพลังงานน้อย ทำให้เหนื่อยงาน เซลล์เสื่อมเร็ว
7. ภาวะเซลล์หยุดแบ่งตัวถาวร (Cellular senescence) คือเซลล์ชราที่ไม่ถูกจำกัด เมื่อสั่งสมในร่างกาย ทำให้เพิ่มการอักเสบเรื้อรัง
8. สเต็มเซลล์เสื่อม (Stem cell exhaustion) ร่างกายสร้างเซลล์ใหม่ได้น้อยลง เช่น แผลหายช้า กระดูกหรือกล้ามเนื้อเสื่อมเร็ว
9. การสื่อสารระหว่างเซลล์ผิดปกติ (Altered intercellular communication) ฮอร์โมนและสารสื่อประสาททำงานไม่สมดุล
ต่อมาในปี 2023 ได้มีการอัปเดต Hallmarks of Aging ขึ้นอีก 3 ประเด็น โดยขยายและปรับให้ครอบคลุมปัญหาในระดับโมเลกุล เซลล์ และระบบมากขึ้น คือ
10. การอักเสบเรื้อรัง (Chronic inflammation) การอักเสบเรื้อรัง จากภูมิคุ้มกันผิดปกติ
11. Impaired proteostasis / autophagy การทำลายของเสียภายในเซลล์ช้าลง ทำให้สมองและอวัยวะเสื่อม
12. จุลชีวในร่างกายไม่สมดุล ( Dysbiosis / microbiome imbalance) เช่น ลำไส้ไม่ดีทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อน และเจ็บป่วยง่าย
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า แต่ละข้อนี้คือตัวเปลี่ยนที่จะทำให้สุขภาพเสื่อมลงในแต่ละจุด และเมื่อแต่ละจุดเสื่อมลง ก็ย่อมส่งผลต่อการเกิดโรคมากขึ้น โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวข้องกับอายุ ซึ่งมีความสัมพันธ์กับกลไกความชราของร่างกาย เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคสมองและระบบประสาท โรคมะเร็ง โรคเบาหวานและเมตาบอลิกซินโดรม โรคข้อเสื่อมและกระดูกพรุน โรคภูมิคุ้มกันเสื่อมและติดเชื้อง่าย เป็นต้น
'Longevity Science' แนวทางของนวัตกรรมที่คนอยากจะไปให้ถึง
มนุษย์สนใจเรื่องของ Longevity มานานกว่า 60 ปีแล้ว ระหว่างทางก็มีผลิตภัณฑ์เล่าลือมาตลอดระยะทาง แต่ไม่สามารถพิสูจน์ได้จริงว่าสามารถช่วยได้! จนมา 5-10 ปีให้หลัง ที่นวัตกรรมทาง Biotech เฟื่องฟูขึ้น จุดนี้ต่างหากที่ทำให้ตลาดหันกลับมามอง Longevity อีกครั้ง
หากนำทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ทั้ง 14 ข้อเบื้องต้นมาอธิบายปัญหาของกลไกความชราในร่างกาย 'Longevity' ที่พวกเราตามหา ก็จะต้องตอบ 14 ข้อนี้ให้ได้ ซึ่งต้องอาศัยศาสตร์ที่เรียกว่า 'Longevity Science' หรือศาสตร์การวิจัยและพัฒนาวิธีเพิ่มสุขภาพและคุณภาพชีวิต ที่เน้น การซ่อมแซมระบบที่เสื่อม การปรับสมดุลกลไกชีววิทยา และการเพิ่มคุณภาพของสุขภาพที่ดีในแต่ละปี
แต่การจะใช้ศาสตร์นี้ได้นั้น Longevity Science ทำให้ทุกอย่างที่บริษัทและนักวิทยาศาสตร์ทำออกมาจะต้องมี ‘หลักฐานเชิงคลินิก’ หมายถึงเป็นนวัตกรรมที่มีงานวิจัยรองรับ ซึ่งต่างจากผลิตภัณฑ์ความงาม/Wellness ซึ่งส่วนนี้เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาตร์หลายคนเคยออกมาเน้นย้ำ
ปัจจุบันในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จึงมีบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพที่ต้องการพัฒนาเทคโนโลยี Longevity ในระดับของการมีหลักฐานทางคลินิกและวิทยาศาสตร์เกิดมากขึ้น เน้นไปในส่วนของการใช้ Biotech การบำบัดเชิงเทคโนโลยี เช่น ยีน, เซลล์ ในรูปแบบของเทคโนโลยีและยา
ยกตัวอย่างเช่น ยาลดความอ้วน (ซึ่งความอ้วนนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคตามมา) บางตัว ซึ่งเพิ่งได้รับการยอมรับจาก FDA สหรัฐในปี 2021 ไม่ใช่ยาลดความอ้วนในแบบที่หาได้ในสิบปีก่อน แต่เป็นยาที่ผ่านการวิจัย มีหลักฐานประจักษ์เชิงคลินิก มีการพิสูจน์ในกลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่ มีการผ่านการตรวจด้านความปลอดภัย และแสดงให้เห็นว่าสามารถลดภาวะอ้วนได้จริง จนเป็นที่ยอมรับของแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ และ FDA
ซึ่งทำให้มูลค่าตลาดยาลดความอ้วนพุ่งกระฉูด! แบบไม่มีอะไรกั้นอย่างแท้จริง
มีการคาดการณ์ว่าตลาด Longevity จะเติบโตด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 10.37% ระหว่างปี 2025 ถึง 2035 โดยคาดว่าจะมีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นจาก 21.29 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 เป็น 63.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2035 (Market Reserch Future)
...
Longevity มาแน่! แต่ผู้บริโภคจะรับมือ โดยการใช้ข้อมูลส่วนไหนและฐานความเชื่อแบบใด เป็นเรื่องสำคัญ ..
แต่ถ้าหากขึ้นชื่อว่าเป็นนวัตกรรมที่จะเข้าไปเกี่ยวและพัวพันกับร่างกายของเรา ควรมี 'หลักฐานเชิงคลินิก' หรือ 'หลักฐานทางวิทยาศาสตร์' รองรับ ซึ่งน่ายินดีที่ปัจจุบันและอนาคตเทรนด์ของการพัฒนานวัตกรรมด้าน Longevity จะเน้นไปในแนวทางดังกล่าว .. เพราะคงไม่มีใครอยากตกเป็นเหยื่อของขบวนการ 'ขายฝัน' เสียทั้งเงินและเผลอๆ อันตรายกับร่างกายตามมาอีกด้วย.


