มหาวิทยาลัยสีเขียวกับนวัตกรรม เครื่องกำจัดเศษอาหาร Z’Food Waste
สจล. จับมือ Zillion Innovation เปิดตัว “Z’Food Waste” เครื่องย่อยเศษอาหารสู่ปุ๋ยคุณภาพ ลดขยะ 30% ขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยสีเขียว
KEY
POINTS
- สจล. ร่วมมือกับ Zillion Innovation พัฒนาเครื่องกำจัดเศษอาหาร “Z’Food Waste” เพื่อแปรรูปขยะอินทรีย์เป็นปุ๋ยคุณภาพสูง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “มหาวิทยาลัยสีเขียว” ที่มุ่งลดปริมาณขยะในสถาบัน
- จุดเด่นของนวัตกรรมนี้คือการตั้งอยู่ในสถาบันการศึกษา ทำให้สามารถต่อยอดงานวิจัยเพื่อเพิ่มคุณภาพปุ๋ย และสร้างวัฒนธรรมการแยกขยะที่ยั่งยืนในกลุ่มนักศึกษาและบุคลากรได้โดยตรง
- โครงการมีเป้าหมายในการเก็บข้อมูลเชิงประสิทธิภาพเพื่อสร้างเป็นต้นแบบที่สามารถขยายผลไปยังองค์กรอื่นได้ แต่ยังคงมีความท้าทายในการแข่งขันกับเทคโนโลยีที่มีอยู่ด้านความเร็วในการย่อยและต้นทุนการจัดการ
การจัดการเศษอาหารเป็นโจทย์สำคัญของสังคมสมัยใหม่ เนื่องจากเศษอาหารที่ถูกทิ้งในหลุมฝังกลบไม่เพียงเพิ่มปริมาณขยะ แต่ยังปล่อยก๊าซมีเทนซึ่งเป็นตัวการเรือนกระจกที่มีศักยภาพสูงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์หลายสิบเท่า หลายประเทศและหลายองค์กรจึงหันมาให้ความสำคัญกับการแปรรูปเศษอาหารเป็นทรัพยากรใหม่ ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยอินทรีย์ วัสดุปรับปรุงดิน หรือแม้กระทั่งพลังงานชีวภาพ
ในประเทศไทยเอง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ได้จับมือกับบริษัท Zillion Innovation พัฒนาเครื่องกำจัดเศษอาหาร “Z’Food Waste” เพื่อต่อยอดโครงการ “ลาดกระบังไม่เทรวม ลดขยะร้อยละ 30” แนวคิดหลักคือย่อยสลายขยะอินทรีย์ให้กลายเป็นปุ๋ยคุณภาพสูง โดยมีแผนวิจัยเพิ่มเติม เช่น การเสริมจุลินทรีย์เฉพาะทาง เพื่อเพิ่มคุณค่าทางเกษตรและทำให้กระบวนการจัดการขยะกลายเป็นวงจรที่สมบูรณ์ ทั้งยังมีเป้าหมายชัดเจนในการติดตามข้อมูลเชิงประสิทธิภาพ เช่น ปริมาณขยะที่ถูกย่อย การลดก๊าซเรือนกระจก และต้นทุนการจัดการ เพื่อสร้างต้นแบบที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ทั้งในมหาวิทยาลัยอื่นและองค์กรขนาดใหญ่
มุมมองเปรียบเทียบกับเทคโนโลยีที่มีอยู่
หากเปรียบเทียบกับนวัตกรรมในตลาด จะพบว่า Z’Food Waste ไม่ได้เป็นเพียงโครงการแรก แต่มีโอกาสพัฒนาให้โดดเด่นกว่ารุ่นอื่น ๆ ที่เคยมีมา เช่น ในประเทศไทยมีเครื่องจาก HASS ที่เน้นการใช้จุลินทรีย์ช่วยย่อย สามารถทำงานได้ภายใน 24 ชั่วโมง โดยให้ผลลัพธ์ที่ไม่มีกลิ่นรบกวนและมีระบบกรองอากาศที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานในครัวเรือนหรือสถานศึกษา อีกตัวอย่างคือ Oklin ที่มีชื่อเสียงในระดับสากล สามารถลดน้ำหนักเศษอาหารได้ถึง 80–90% ภายในเวลาเพียงวันเดียว ทำให้เป็นที่นิยมในโรงแรม โรงพยาบาล และศูนย์อาหารขนาดใหญ่
นอกจากนี้ ยังมีโซลูชันที่แตกต่างไป เช่น Klaren ซึ่งชูจุดขายว่าไม่จำเป็นต้องเติมจุลินทรีย์สังเคราะห์ใหม่ ทำให้สะดวกต่อการใช้งาน หรือ KEEEN ที่ใช้วิธีการผสมระหว่างการย่อยและการอบแห้ง จนได้สารปรับปรุงดินที่มีความชื้นต่ำและจัดการกลิ่นได้ดี ขณะเดียวกัน บริษัทพลังงานขนาดใหญ่อย่าง ปตท. ก็พัฒนาเครื่องย่อยเศษอาหารที่อ้างว่าสามารถย่อยได้ภายใน 12 ชั่วโมง โดยไม่ใช้สารเคมีใด ๆ เลย ซึ่งถือเป็นการโชว์ศักยภาพของอุตสาหกรรมไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่การจัดการเศษอาหารเชิงเทคโนโลยีอย่างจริงจัง
ในต่างประเทศก็มีความพยายามสร้างสรรค์แนวคิดใหม่ ๆ ตัวอย่างเช่น ระบบ Smart Bin ที่ใช้ตัวอ่อนแมลง “Black Soldier Fly” ในการย่อยสลายเศษอาหาร โดยมีการติดตั้งเซนเซอร์เพื่อควบคุมสภาพอุณหภูมิ ความชื้น และการให้ออกซิเจน ผลลัพธ์คือได้ทั้งปุ๋ยอินทรีย์และโปรตีนจากตัวแมลงที่นำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ การออกแบบเช่นนี้ไม่เพียงแค่ช่วยลดขยะ แต่ยังสร้างมูลค่าเพิ่มหลากหลายรูปแบบ
จุดแข็งและความท้าทายของ Z’Food Waste
เมื่อเทียบกับเครื่องอื่น ๆ แล้ว Z’Food Waste มีความได้เปรียบที่ชัดเจนคือการอยู่ในสถาบันการศึกษา ทำให้สามารถต่อยอดงานวิจัยได้อย่างต่อเนื่อง และยังมีศักยภาพในการสร้างวัฒนธรรมการแยกขยะที่หยั่งรากลึกในกลุ่มนักศึกษาและบุคลากร ซึ่งเป็นสิ่งที่เครื่องเชิงพาณิชย์ทั่วไปไม่สามารถทำได้ นอกจากนี้ การวัดผลในเชิงตัวเลขจริง เช่น ปริมาณขยะที่ลดลงหรือต้นทุนที่ประหยัดได้ จะทำให้โครงการนี้มีน้ำหนักเพียงพอที่จะนำไปเผยแพร่เป็นกรณีศึกษา
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงมีหลายด้าน เช่น ประสิทธิภาพในการย่อยที่ต้องแข่งขันกับเครื่องที่มีอยู่ในตลาดซึ่งสามารถย่อยได้รวดเร็วและลดน้ำหนักได้มากกว่า 80% รวมถึงประเด็นด้านกลิ่น การปนเปื้อนของเชื้อโรค และการบำรุงรักษาที่อาจเป็นภาระต่อผู้ใช้งานระยะยาว อีกทั้งการสร้างพฤติกรรม “ไม่เทรวม” ให้กับคนจำนวนมากในมหาวิทยาลัยก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาและความต่อเนื่อง
บทสรุป
ความร่วมมือระหว่าง สจล. และ Zillion Innovation ผ่านโครงการ Z’Food Waste ถือเป็นก้าวสำคัญของการขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยสู่เป้าหมาย Green University และ Zero Waste ได้อย่างเป็นรูปธรรม
จุดเด่นที่แตกต่างจากโซลูชันอื่นคือการผสานงานวิจัยเข้ากับการใช้งานจริง รวมถึงการสร้างการมีส่วนร่วมของนักศึกษาและบุคลากร หากสามารถพัฒนาประสิทธิภาพเครื่องให้อยู่ในระดับเดียวกับมาตรฐานสากล พร้อมทั้งจัดการความท้าทายด้านกลิ่นและต้นทุนได้สำเร็จ ก็มีโอกาสสูงที่ Z’Food Waste จะก้าวขึ้นมาเป็น “โมเดลต้นแบบของไทย” ที่สามารถขยายผลไปยังโรงเรียน โรงพยาบาล องค์กรเอกชน และแม้กระทั่งชุมชนท้องถิ่นได้ในอนาคต


