WHO กลับลำครั้งประวัติศาสตร์! แนะให้ใช้ยาลดความอ้วน-เบาหวานกลุ่ม ‘GLP-1’
กางสาเหตุ WHO กลับลำครั้งประวัติศาสตร์! แนะนำให้ใช้ยาลดความอ้วน-เบาหวานกลุ่ม ‘GLP-1’ หลังจากที่ไม่เคยแนะนำให้ใช้ยาลดความอ้วนมาก่อน!
KEY
POINTS
- องค์การอนามัยโลก (WHO) เปลี่ยนท่าทีครั้งประวัติศาสตร์ โดยแนะนำให้ใช้ยาลดความอ้วนกลุ่ม GLP-1 เป็นครั้งแรก จากเดิมที่ไม่เคยแนะนำยาลดความอ้วนใดๆ
- การเปลี่ยนแปลงนี้มีสาเหตุจากวิกฤตโรคอ้วนทั่วโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้น โดย WHO มองว่าโรคอ้วนเป็น “โรคเรื้อรัง” ไม่ใช่แค่ปัญหาพฤติกรรม
- คำแนะนำเบื้องต้นระบุให้ใช้ยากลุ่มนี้กับผู้ใหญ่ที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) เกิน 30 ซึ่งยาจะออกฤทธิ์ทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้นและช่วยลดน้ำหนักได้
- อย่างไรก็ตาม WHO ยังไม่ได้บรรจุยากลุ่มนี้ใน "บัญชียาจำเป็น" สำหรับการรักษาโรคอ้วนโดยเฉพาะ แต่บรรจุไว้ในยารักษาเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งมีอาการอื่นร่วมด้วยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ก่อนหน้านี้ WHO ไม่เคยแนะนำหรือมีแนวโน้มที่จะบรรจุยาลดความอ้วนใดๆ ในบัญชียาจำเป็น (essential medicines list) หรือยาที่ควรมีให้บริการในระบบสุขภาพที่มีประสิทธิภาพทุกแห่ง
สาเหตุเนื่องจาก ความกังวลด้านความปลอดภัย เพราะยาลดความอ้วนในอดีตหลายชนิดมีผลข้างเคียงที่รุนแรง โดยเฉพาะผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงมีความเสี่ยงในการเสพติด ทำให้ยาหลายตัวถูกถอนออกจากตลาดไป และการขาดหลักฐานระยะยาวในการพิจารณาครั้งก่อนๆ ที่บ่งชี้ถึงประโยชน์และความปลอดภัยในระยะยาว
รวมไปถึงแนวทางดั้งเดิมของ WHO เน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การควบคุมอาหารหรือการออกกำลังกายเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม จากสถิติขององค์การอนามัยโลก (WHO) เองที่ออกมาเปิดเผยสถิติผู้ป่วยโรคอ้วนในปี 2565 พบว่าประชากร 1 ใน 8 ป่วยโรคอ้วน เมื่อเจาะไปที่ประชากรที่เป็นผู้ใหญ่พบว่า ผู้ใหญ่ราว 2.5 พันล้านคนมีน้ำหนักเกิน และ 890 ล้านคนเป็นโรคอ้วน
ไม่นับกับตัวเลขของโรคอ้วนในเด็กที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่อ้วนอีก หากไม่หาวิธีจัดการซึ่งจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในอนาคต! สะท้อนถึงวิธีการจัดการแบบเดิมๆ ที่อาจไม่ได้ผล หรือไม่ทันท่วงที โดยล่าสุด มีตัวเลขทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจคือ
จากการคาดการณ์ของสมาพันธ์โรคอ้วนโลก (World Obesity Federation) ความเสียหายทางเศรษฐกิจจากภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ
คาดว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจจะสูงถึง 4.32 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ภายในปี 2035
ซึ่งคิดเป็นเกือบ 3% ของ GDP โลก
และ หากไม่มีมาตรการป้องกันและรักษาที่มีประสิทธิภาพ คาดว่าต้นทุนทางเศรษฐกิจทั่วโลกของภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนจะเพิ่มขึ้นจากเกือบ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2020 เป็นมากกว่า 18 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2060
WHO กลับลำครั้งประวัติศาสตร์ แนะนำให้ใช้ยาลดความอ้วนกลุ่ม GLP-1
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเมื่อวานนี้ (15 กันยายน 2568) ว่า WHO เตรียมออกคำแนะนำให้ใช้ยาลดความอ้วนสำหรับผู้ใหญ่ ซึ่งแนวทางดังกล่าวมีการรายงานเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนพฤษภาคมปีนี้ว่า WHO มีแนวโน้มที่จะก้าวไปในทิศทางดังกล่าว
ในร่างแนวทางที่เผยแพร่ออนไลน์และเปิดให้แสดงความคิดเห็นจนถึงวันที่ 27 กันยายน 2568 WHO ระบุว่าการจัดการโรคอ้วนถูกกำหนดโดยมุมมองที่ล้าสมัย ซึ่งมองว่าเป็นปัญกาแค่พฤติกรรมการใช้ชีวิตเท่านั้น
แต่แท้จริงแล้วควรมองเป็น ‘โรคเรื้อรัง โรคพัฒนาขึ้น และเกิดซ้ำได้’ ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้คนมากกว่า 1 พันล้านคนทั่วโลก ทั้งในประเทศรายได้สูงและรายได้ต่ำ และมีส่วนทำให้เกิดการเสียชีวิตที่สามารถป้องกันได้หลายล้านราย
และ WHO แนะนำให้ใช้ยารักษาโรคอ้วนเป็นครั้งแรก
โดยเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนามาตรฐานการดูแลระดับโลก
พร้อมทั้งกำลังจัดทำแนวทางดูแลโรคกลุ่มนี้ในเด็กและวัยรุ่นอีกด้วย
ซึ่งคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญของ WHO ได้ข้อสรุปว่า ยากลุ่ม GLP-1 ที่ได้รับความนิยม ถือเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางการรักษาโรคอ้วนในระยะยาว สำหรับผู้ป่วยที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ตามเกณฑ์ที่กำหนด
โดยแนวทางฉบับร่างของ WHO จะครอบคลุมเฉพาะผู้ที่มีค่า BMI เกิน 30 เท่านั้น แต่ในบางประเทศรายได้สูง เช่น สหรัฐอเมริกา มีการแนะนำให้ใช้ยานี้กับผู้ที่มีค่า BMI ระหว่าง 27 ถึง 30 และมีโรคที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนักอย่างน้อยหนึ่งโรค
GLP-1 คืออะไร
ยาที่รู้จักกันในชื่อกลุ่ม GLP-1 receptor agonists จะเลียนแบบการทำงานของฮอร์โมนที่ช่วยชะลอการย่อยอาหารและทำให้คนเรารู้สึกอิ่มได้นานขึ้น ในการทดลองทางคลินิก (clinical trials) ผู้ใช้ยาสามารถลดน้ำหนักตัวลงได้ 15% ถึง 20% ขึ้นอยู่กับชนิดของยา
โดยเปิดตัวครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาด้วยราคาต่อเดือนที่สูงกว่า 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ และยังคงมีค่าใช้จ่ายหลายร้อยดอลลาร์ในประเทศที่มีรายได้สูง ผลการศึกษาชี้ว่าผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องใช้ยาเหล่านี้ไปตลอดชีวิตเพื่อควบคุมน้ำหนักไม่ให้กลับมาเพิ่มขึ้นอีก
นอกจากนี้ ยากลุ่ม GLP-1 ยังมีศักยภาพในการรักษาโรคอื่นๆ ได้อีกหลายโรค โดยเฉพาะ 'โรคเบาหวานชนิดที่ 2' ซึ่งสำหรับโรคเบาหวานชนิดที่ 2
มีการอนุมัติจาก WHO ให้บรรจุยาดังกล่าวสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เมื่อมีโรคร่วมอื่นด้วย
เช่น ภาวะโรคอ้วน หรือมีโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคไตเรื้อรังร่วมด้วยแล้ว
อย่างไรก็ตาม WHO ยังไม่ได้เพิ่มยากลุ่มนี้เป็นยารักษาโรคอ้วนใน บัญชียาจำเป็น (essential medicines list) หมายถึง หากใช้ยาสำหรับลดน้ำหนักอย่างเดียว WHO ยังไม่ได้เพิ่มให้อยู่ในบัญชียาจำเป็น พร้อมระบุว่าราคาที่สูงของยากลุ่มนี้จะจำกัดการเข้าถึงในกลุ่มประเทศที่มีรายได้น้อยและปานกลาง.


