ย้อนรอย “คนละครึ่ง” กลับมาอีกครั้งแบบ Quick Win กระตุ้นเศรษฐกิจฉับไว
ย้อนรอยโครงการคนละครึ่งยุคลุงตู่ จากมาตรการฟื้นเศรษฐกิจหลังโควิด สู่ Quick Win ยุคอนุทิน เครื่องมือรัฐที่ทั้งได้ผลจริงและถูกวิจารณ์
KEY
POINTS
- โครงการ "คนละครึ่ง" ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งในฐานะนโยบาย "Quick Win" ของรัฐบาลใหม่ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและกำลังซื้ออย่างรวดเร็ว เนื่องจากเป็นมาตรการที่ประชาชนคุ้นเคยและเข้าใจง่าย
- โครงการนี้เคยประสบความสำเร็จอย่างสูงในอดีต (พ.ศ. 2563-2565) โดยมี 5 เฟส สามารถสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจฐานรากได้กว่า 4 แสนล้านบาท และช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย
- แนวคิดหลักคือรัฐช่วยจ่ายค่าสินค้า 50% ผ่านแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" ซึ่งไม่เพียงช่วยลดภาระค่าครองชีพ แต่ยังส่งเสริมให้ประชาชนคุ้นเคยกับระบบการชำระเงินดิจิทัล และเป็นนโยบายที่ได้รับความนิยมสูง
คนละครึ่งกลับมาอีกครั้ง ด้วยนโนบาย Quick Win กระตุ้นเศรษฐกิจฉับไว
เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2568 มีการรายงานว่า “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของไทยเตรียมนำโครงการ “คนละครึ่ง” กลับมาใช้ใหม่ในเวอร์ชันปรับปรุง เพื่อเป็นมาตรการ Quick Win ฟื้นฟูกำลังซื้อภายในประเทศและลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชนอีกครั้ง
โครงการนี้ถูกยกให้เป็นไม้เด็ดที่เข้าใจง่าย เข้าถึงได้ทันที เพราะเป็นโครงการที่ประชาชนและผู้ประกอบการร้านค้าเคยคุ้นเคยมาตั้งแต่ช่วงโควิด-19 การเลือกใช้ “Quick Win” จึงชี้ให้เห็นถึงเป้าหมายสำคัญคือ “ได้ผลเร็ว” โดยไม่ต้องใช้งบประมาณเวลานานในการอธิบายหรือประชาสัมพันธ์
นโยบายและเงื่อนไขผู้เข้าร่วม
- คุณสมบัติผู้ร่วมโครงการ
ประชาชนที่สามารถเข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่ง” เวอร์ชันใหม่นี้ ต้อง:
- มีสัญชาติไทย และถือบัตรประชาชน
- มีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ ณ วันที่ลงทะเบียน
- ไม่ได้รับสิทธิจากโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือโครงการที่มีลักษณะคล้ายกัน
การคัดกรองนี้มีเป้าหมายเพื่อความเท่าเทียมในการกระจายสิทธิ์ และป้องกันการทับซ้อนของสิทธิ์จากโครงการรัฐหลายแห่ง
- ช่องทางการลงทะเบียนและใช้สิทธิ
การเข้าร่วมโครงการทำได้ผ่านสองช่องทางหลัก:
เว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com
แอปพลิเคชัน เป๋าตัง พร้อมเชื่อมโยงกับ G-Wallet
หลังจากได้รับการอนุมัติสิทธิ์ ผู้เข้าร่วมสามารถเติมเงินเข้ากระเป๋า G-Wallet ผ่าน Mobile Banking, QR PromptPay หรือ ATM เพื่อใช้จ่ายที่ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการได้ทันที
- ร้านค้าที่เข้าร่วม
ร้านค้าที่สามารถเข้าร่วมโครงการคือร้านค้าขนาดเล็ก เช่น ร้านอาหาร ร้านเครื่องดื่ม หรือร้านค้าทั่วไปที่ขายสินค้าอุปโภคบริโภค ยกเว้นร้านที่จำหน่ายล็อตเตอรี่, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, ยาสูบ และบริการอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อุปโภคบริโภค
ย้อนรอยโครงการคนละครึ่ง 5 เฟส ยุคลุงตู่ (2563–2565)
จุดกำเนิด "โครงการฟื้นเศรษฐกิจหลังโควิด"
หลังวิกฤตโควิด-19 รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ต้องหามาตรการช่วยเหลือประชาชนที่ตรงจุดและกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยทันที โครงการ “คนละครึ่ง” จึงถือกำเนิดขึ้นในปี 2563 โดยมีแนวคิดง่าย ๆ คือ
รัฐช่วยจ่ายครึ่งหนึ่งของค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าและบริการที่ร้านค้าที่เข้าร่วม สูงสุดตามวงเงินที่กำหนด
เฟส 1 (23 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2563)
สิทธิ: 10 ล้านคน
วงเงิน: 3,000 บาทต่อคน (รัฐออกให้ครึ่งหนึ่งต่อการใช้จ่าย)
เงื่อนไข: ใช้ได้ไม่เกิน 150 บาท/วัน
ร้านค้า: ร้านค้าทั่วไป ร้านอาหาร ร้านเครื่องดื่ม ร้านธงฟ้า ฯลฯ
ผลลัพธ์: ได้รับความนิยมสูงมาก สิทธิเต็ม 10 ล้านในเวลาไม่กี่วัน
เฟส 2 (1 มกราคม – 31 มีนาคม 2564)
เพิ่มสิทธิใหม่: 5 ล้านคน
วงเงิน: เพิ่มอีก 3,500 บาท/คน
รวมผู้ได้สิทธิทั้งหมด: 15 ล้านคน
วัตถุประสงค์: ขยายฐานผู้ได้รับประโยชน์ และต่อเนื่องจากความสำเร็จเฟสแรก
เฟส 3 (1 กรกฎาคม – 31 ธันวาคม 2564)
วงเงิน: 3,000 บาทต่อคน (แบ่งจ่ายเป็นรอบ ๆ ละ 1,500 บาท)
สิทธิ: ครอบคลุมประชาชนกว่า 31 ล้านคน
จุดเด่น: รัฐเริ่มขยายจำนวนสิทธิให้กว้างขึ้น เพื่อให้คนจำนวนมากเข้าร่วม
เงื่อนไขเพิ่มเติม: ยังคงใช้แอป “เป๋าตัง” เป็นหลัก
ผลลัพธ์: เงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจฐานรากหลายแสนล้านบาท
เฟส 4 (1 กุมภาพันธ์ – 30 เมษายน 2565)
วงเงิน: 1,200 บาทต่อคน
สิทธิ: ประมาณ 26.3 ล้านคน
มูลค่าการใช้จ่ายรวม: เกือบ 7 หมื่นล้านบาท
เสียงสะท้อน: เริ่มมีข้อวิจารณ์ว่า วงเงินน้อยลง ไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น
เฟส 5 (1 กันยายน – 31 ตุลาคม 2565)
วงเงิน: 800 บาทต่อคน
สิทธิ: 26.5 ล้านคน
รวมผู้ใช้สิทธิทุกเฟส: เกิน 30 ล้านคน
เม็ดเงินสะพัด: นับตั้งแต่เฟสแรกจนถึงเฟส 5 สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจรวมกันกว่า 4 แสนล้านบาท
บทสรุปเฟสสุดท้ายถือเป็นการปิดฉาก “คนละครึ่ง” ในยุครัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนรัฐบาลในปี 2566
ภาพรวมและบทเรียน
ความสำเร็จ:
กระตุ้นการจับจ่ายของประชาชนได้จริง
ช่วยให้ร้านค้ารายย่อย/หาบเร่แผงลอยมีรายได้เพิ่ม
ทำให้คนจำนวนมากคุ้นเคยกับระบบดิจิทัล เช่น “แอปเป๋าตัง” และ e-Payment
ข้อวิจารณ์:
วงเงินต่อคนค่อนข้างน้อยเมื่อค่าครองชีพสูงขึ้น
มีปัญหาทุจริต เช่น ร้านค้าขายหน้าร้าน-หลังร้าน, การรูดเงินปลอม
เป็นมาตรการระยะสั้น ไม่ได้แก้ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจ
ผลสะเทือนทางการเมือง:
ทำให้รัฐบาลได้รับคะแนนนิยมในระยะหนึ่ง เพราะประชาชนรู้สึกถึง “เงินในมือจริง ๆ”
กลายเป็นมาตรการที่รัฐบาลชุดต่อมา (เช่นรัฐบาลอนุทิน 2568) ต้องหยิบกลับมาใช้อีก เนื่องจากเป็นนโยบายที่ “ขายง่าย เข้าใจง่าย”


