เกิดอะไรขึ้น? เมื่อ สพฉ. ไฟเขียวเก็บค่าบริการการแพทย์ฉุกเฉิน นทท. ต่างชาติ
สพฉ. ศึกษา เก็บค่าบริการการแพทย์ฉุกเฉินนทท.ต่างชาติ ผ่านประกันแบบสมัครใจ หลังรัฐแบกภาระ 100% ขณะที่ปี 2567 มี นทท.บาดเจ็บ เสียชีวิตกว่า 30,000 ราย จุดประกายคำถามว่า ควรทำประกันก่อนเข้าไทยหรือไม่?
KEY
POINTS
- บอร์ด สพฉ. มีมติเห็นชอบให้เริ่ม "ศึกษา" แนวทางการเก็บค่าบริการการแพทย์ฉุกเฉิน (สายด่วน 1669) จากนักท่องเที่ยวต่างชาติผ่านระบบประกันด้วยความสมัครใจ
- วัตถุประสงค์เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยให้ทัดเทียมนานาชาติ และเพื่อเพิ่มงบประมาณสำหรับพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินของไทยที่ยังขาดแคลน
- ประเมินความเสียหายมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ไทยต้องจ่ายให้นักท่องเที่ยวต่างชาติจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในประเทศ หลังพบปี 2567 มีนักท่องเที่ยวเสียชีวิต 616 คน บาดเจ็บ 28,463 คน
ความเคลื่อนไหวล่าสุดที่น่าสนใจคือ บอร์ดสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ( สพฉ. ) เจ้าของ 1669 ของคนไทย ที่มี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.กระทรวงสาธารณสุขนั่งเป็นประธานบอร์ด ล่าสุด!ไฟเขียว ‘ศึกษา' การเก็บค่าบริการการแพทย์ฉุกเฉินนักท่องเที่ยวต่างชาติ ผ่านกลไกประกันสุขภาพและประกันอุบัติเหตุระหว่างเดินทางด้วยความสมัครใจ
สองปัจจัยสำคัญที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงในการขับเคลื่อนครั้งนี้ ได้แก่
1. การเก็บค่าบริการดังกล่าว เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยเทียบเท่าสากล สอดคล้องกับนโยบายของรัฐที่กระตุ้นเรื่องการท่องเที่ยวและกีฬาในปีนี้
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า จากข้อมูลพบว่าในปี 2567 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามายังประเทศไทย รวม 35.54 ล้านคน พบสถิติการเกิดอุบัติเหตุของนักท่องเที่ยว ซึ่งประสบอุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์ ร้อยละ 80.73 มีนักท่องเที่ยวเสียชีวิต 616 คน บาดเจ็บ 28,463 คน โดยจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวเสียชีวิตและเกิดอุบัติเหตุมากที่สุด คือ จังหวัดภูเก็ต กทม. และเชียงใหม่ ตามลำดับ และ
2. เก็บค่าบริการดังกล่าว เนื่องจากทาง สพฉ. มีความจำเป็นต้องเพิ่มงบประมาณ โดย ดร.พิเชษฐ์ หนองช้าง เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ทาง สพฉ. ไม่เคยเรียกเก็บเงินส่วนนี้จากหน่วยงานใดเลย เป็นการจ่ายออกของรัฐ 100% แม้ว่าในบางแพ็คเกจประกัน หรือบางกองทุนฯ มีการตั้งงบตรงนี้ไว้ก็ตาม การเรียกรถผ่าน 1669 นั้น สพฉ.เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด
สำหรับงบประมาณของระบบการแพทย์ฉุกเฉินในไทยที่ผ่านมาได้รับงบปีละ 1,050 ล้านบาท จ่ายค่าชดเชยปฏิบัติการในอัตราเดิมที่ต่ำกว่าต้นทุนเป็นระยะเวลากว่า 20 ปี และมีความจำเป็นต้องของบกลางเพิ่มปีละ 200-300 ล้านบาททุกปี
การจัดเก็บค่าบริการดังกล่าว จะนำมาพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินในไทย เนื่องจากมีตำบลลราว 34% หรือราวๆ 2 พันกว่าตำบลที่ไม่มีหน่วยปฏิบัติการด้านการแพทย์ฉุกเฉินอยู่เลย จึงเป็นความขาดแคลนพื้นฐาน ที่ควรจะดูแลให้ทั่วถึงทั้งประเทศ รวมถึงการพัฒนาระบบและบุคลากรเพื่อให้มาตรฐานความปลอดภัยของการแพทย์ฉุกเฉินไทยอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานสากล
ย้ำ ‘ศึกษา’ แต่จะเป็นไปจนถึงขั้นกำหนดให้นักท่องเที่ยวต้องทำประกันก่อนเดินทางมาไทยหรือไม่ เป็นเรื่องอนาคต
การ ‘ศึกษา’ เพื่อเก็บค่าบริการดังกล่าวกับบริษัทประกัน ซึ่งเป็นหนทางในการเก็บค่าบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินกับนักท่องเที่ยวนั้น ทางบอร์ด สพฉ.ยอมรับว่าเป็นการเก็บตามความสมัครใจ เนื่องจากประเทศไทยยังไม่มีข้อกำหนดให้นักท่องเที่ยวต้องทำประกันสุขภาพก่อนเดินทางเข้าประเทศไทย
อย่างไรก็ตามในประเทศอื่นๆ เช่น กลุ่มเชงเก้น เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รัสเซีย ตุรกี เมียนมา ฯลฯ กำหนดให้ผู้เดินทางต้องมีประกันสุขภาพหรือประกันอุบัติเหตุครอบคลุมระหว่างอยู่ในประเทศ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายทางสาธารณสุขของประเทศนั้นๆ
เมื่อกลับไปดูข้อกำหนดของการช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวต่างชาติในไทย ตามประกาศของกระทรวงการท่องเที่ยวกีฬา เรื่อง หลักเกณฑ์คณะกรรมการกลั่นกรองการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งประกาศ ณ วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2567
กำหนดให้รัฐบาลดูแลนักท่องเที่ยวต่างชาติในกรณีการเกิดอุบัติเหตุ อาทิ
- หากเกิดอุบัติเหตุจนเสียชีวิต สูงสุดรายละ 1 ล้านบาท โดยผู้ยื่นคำขอต้องถือพาสปอร์ตประเภทนักท่องเที่ยว ไม่ใช่เพื่อประกอบอาชีพ
- กรณีสูญเสียอวัยวะถาวร ดวงตา หรือทุพพลภาพถาวร เหมาจ่ายรายละ 300,000 บาท
- ค่ารักษาตามจริงไม่เกิน 500,000 บาท
เมื่อโพสต์ทูเดย์ คำนวณคร่าวๆ จากตัวเลขที่ทาง สพฉ.ประกาศว่าในปี 2567 มีนักท่องเที่ยวเสียชีวิต 616 คน บาดเจ็บ 28,463 คน จะพบว่า
ประเทศไทยอาจต้องเสียงบประมาณในส่วนนี้ในกรณีเสียชีวิตมากที่สุดถึง 616,000,000 ล้านบาท
และกรณีบาดเจ็บคิดที่ยอดสูงสุด (500,000) จะอยู่ที่ราว 1.4 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม โพสต์ทูเดย์ คำนวนเฉพาะงบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน ที่เรียกเก็บจากทาง สพฉ. คิดเพียงค่าบริการรถพยาบาลฉุกเฉินขั้นพื้นฐาน (BLS) จากการประเมินของ สพฉ. จะอยู่ที่ต้นทุนราว 1,800 - 2,500 บาทต่อครั้ง
เมื่อคำนวณแล้วอาจจะอยู่ที่ขั้นต่ำราว 50 ล้านบาท ยังไม่นับบริการอื่นๆ ในระบบที่ต้องใช้ร่วมกัน รวมไปถึงรถฉุกเฉินซึ่งมีต้นทุนสูงกว่า หรือการใช้บริการการแพทย์ฉุกเฉินทางเรือและทางอากาศ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าหลายเท่า ในขณะที่ สพฉ.มีงบประมาณต่อปีราว 1,000 กว่าล้านบาทเท่านั้น
.....
ภาระด้านงบประมาณที่มีอยู่นี้ จะสามารถลดน้อยลงและลดผลกระทบกับประชาชนได้มากขึ้นหรือไม่ ยังเป็นคำถามที่ต้องจับตาดูต่อไป .. ท่ามกลางการผลักดันการท่องเที่ยวอย่างเต็มสูบ และเปิดรับนักท่องเที่ยวทุกระดับของรัฐ ..
ในวันแถลงข่าวเมื่อวานนี้ ทางรมว.สมศักดิ์ เทพสุทินเอง ก็แบ่งรับแบ่งสู้ ว่ายังต้องใช้เวลาศึกษาและดำเนินงานอีกพอสมควร เพราะกระทบกับหลายฝ่าย หากอยากให้นโยบายด้านนี้เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้น ทาง สพฉ. จะดำเนินการศึกษา และเจรจากับบริษัทประกันที่นักท่องเที่ยวสมัครใจทำมาเท่านั้น ..
“เป้าหมายของเราภายใน 3 ปี คือ ประชาชนและนักท่องเที่ยว ต้องเข้าถึงบริการฉุกเฉินได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 หน่วยบริการต้องเข้าถึงได้ทุกพื้นที่ และประเทศไทยจะต้องมีระบบการแพทย์ฉุกเฉินที่ปลอดภัย ทันสมัย และเชื่อถือได้
ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เพียงเพื่อ “รักษาชีวิต”แต่เพื่อสร้าง ความเชื่อมั่น ให้กับทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยเพื่อให้การท่องเที่ยวไทย แข่งขันได้ในเวทีโลกและเพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน” นายสมศักดิ์กล่าวทิ้งท้าย


