posttoday

รัฐบาลเตือน สแกนม่านตาแลกรับเงิน เสี่ยงอันตรายไม่คุ้ม

27 สิงหาคม 2568

รัฐบาลออกโรงเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพ ชวนสแกนม่านตาแลกรับเงิน เสี่ยงข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล เสียหายเกินกว่าที่ได้มา

KEY

POINTS

  • รัฐบาลเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อสแกนม่านตาแลกรับเงิน เสี่ยงข้อมูลชีวภาพรั่วไหล
  • ข้อมูลม่านตาเป็นข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวสูงสุด หากหลุดไปไม่สามารถแก้ไขได้
  • หลายประเทศห้ามเก็บข้อมูลม่านตาเชิงพาณิชย์ สะท้อนความกังวลระดับโลก
     

เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงเตือนประชาชนให้ระวังการถูกชักชวนให้สแกนม่านตาเพื่อแลกรับเงินสดหรือเหรียญคริปโต หลังพบมีการเสนอค่าตอบแทน 500–1,000 บาท โดยแลกกับการยินยอมให้เก็บข้อมูลชีวภาพ ซึ่งรัฐบาลย้ำว่าพฤติกรรมเช่นนี้เป็นอันตราย เสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ และอาจส่งผลเสียต่อความปลอดภัยในอนาคต

ปรากฏการณ์ใหม่ในยุคเทคโนโลยี

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีดิจิทัลก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ขยายตัวเข้าไปในทุกมิติของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสาร ธุรกิจ การศึกษา การทำงาน ไปจนถึงเรื่องความปลอดภัยส่วนบุคคล โดยระบบยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลชีวภาพ (Biometrics) ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย อาทิ การสแกนลายนิ้วมือ การจดจำใบหน้า และล่าสุดคือ “การสแกนม่านตา” ที่ถูกยกให้เป็นวิธีการยืนยันตัวตนที่แม่นยำและปลอดภัยสูงสุด

แต่ในอีกด้านหนึ่ง ความก้าวหน้าก็สร้างความท้าทายใหม่ๆ เมื่อข้อมูลชีวภาพซึ่งถือเป็น “ทรัพย์สินดิจิทัลส่วนบุคคล” กลายเป็นเป้าหมายของมิจฉาชีพ เพราะข้อมูลเหล่านี้ไม่สามารถเปลี่ยนใหม่ได้เหมือนรหัสผ่านหรือบัตรประชาชน หากหลุดออกไปจะนำไปสู่ความเสี่ยงถาวร
 

รูปแบบการชักชวน: แลกม่านตาเป็นเงินสด

รายงานจากสภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) ระบุว่า ขณะนี้มีการชักชวนประชาชนในหลายพื้นที่ให้สแกนม่านตา โดยผู้เข้าร่วมจะได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินสดหรือโอนเข้าบัญชีจำนวน 1,000 บาทต่อรายภายใน 24 ชั่วโมง และหากชวนคนอื่นมาได้ ผู้แนะนำจะได้ค่าตอบแทนเพิ่มรายละ 500 บาท สูงสุด 10 ราย ลักษณะดังกล่าวคล้ายกับการตลาดแบบลูกโซ่ที่ใช้สิ่งจูงใจเป็นเงินเล็กน้อยเพื่อแลกกับข้อมูลที่มีค่ามหาศาล

ทำไม "ม่านตา" ถึงอันตรายกว่าข้อมูลอื่น

นายอนุกูล อธิบายว่า ข้อมูลชีวภาพอย่างลายนิ้วมือ ใบหน้า หรือเสียง ล้วนมีมูลค่าในโลกดิจิทัล แต่ “ม่านตา” ถือเป็นข้อมูลที่ละเอียดและมีความเฉพาะบุคคลสูงสุด สามารถระบุอัตลักษณ์ได้แม่นยำและแทบไม่สามารถปลอมแปลงได้ จึงถูกใช้เป็นกุญแจดิจิทัลในหลายระบบความปลอดภัยระดับสูง

ความเสี่ยงหลักหากข้อมูลม่านตารั่วไหล ได้แก่

การรั่วไหลของข้อมูล (Data Breach): ข้อมูล Iris Code ที่ถูกแฮกเกอร์ขโมยไปอาจถูกขายในตลาดมืดหรือใช้เจาะระบบได้

การถูกสวมรอย (Identity Theft): หากมิจฉาชีพได้ข้อมูลม่านตาไป อาจเข้าถึงบัญชีธนาคาร บริการออนไลน์ หรือทำธุรกรรมการเงินในนามเจ้าของข้อมูล

การสร้าง Deepfake ขั้นสูง: เทคโนโลยีการสร้างภาพหรือวิดีโอปลอมสามารถนำข้อมูลม่านตาไปใช้ประกอบการก่ออาชญากรรมไซเบอร์ที่ซับซ้อนและตรวจจับยาก
 

มุมมองกฎหมายและมาตรการสากล

ข้อมูลชีวภาพถูกจัดให้เป็น “ข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว” ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ซึ่งการเก็บ ใช้ หรือเปิดเผย ต้องได้รับความยินยอมโดยชัดเจนและมีมาตรการคุ้มครองสูงสุด

ในหลายประเทศ เช่น สเปน บราซิล อินเดีย และเยอรมนี ยังไม่อนุญาตให้มีการเก็บข้อมูลม่านตาเพื่อการยืนยันตัวบุคคลในเชิงพาณิชย์ เพราะเกรงว่าจะถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดและกระทบสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน การตัดสินใจเหล่านี้สะท้อนถึงความกังวลในระดับโลก

ตัวอย่างเหตุการณ์จริงในต่างประเทศ

อินเดีย เคยเผชิญปัญหาฐานข้อมูล Aadhaar ที่มีข้อมูลชีวภาพของประชาชนกว่า 1,000 ล้านคนรั่วไหล ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของสังคม

สหรัฐอเมริกา เคยมีคดีที่บริษัทเอกชนเก็บข้อมูลม่านตาเพื่อแลกกับรางวัลเล็กน้อย ก่อนถูกตรวจสอบว่าเข้าข่ายละเมิดสิทธิและต้องยุติโครงการ

ยุโรป มีการบังคับใช้กฎหมาย GDPR อย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการละเมิดข้อมูลชีวภาพ

กรณีเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า เมื่อข้อมูลชีวภาพหลุดไปแล้ว ไม่สามารถ “เปลี่ยนใหม่” ได้เหมือนรหัสผ่านหรือบัตรเครดิต

เสียงสะท้อนจากผู้เชี่ยวชาญ

นักวิชาการด้านความมั่นคงไซเบอร์เตือนว่า ข้อมูลม่านตาแม้มีมูลค่ามหาศาล แต่เงินเพียง 500–1,000 บาทไม่สามารถชดเชยความเสี่ยงระยะยาวได้ เพราะหากข้อมูลถูกนำไปสวมรอยทำธุรกรรมการเงิน ผู้เสียหายอาจถูกฟ้องร้องหรือถูกตรวจสอบนานนับปี อีกทั้งยังเสียเครดิตทางการเงินถาวร

ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนชี้ว่า นี่ไม่ใช่เพียงประเด็นความปลอดภัยส่วนบุคคล แต่ยังเป็นเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนที่ต้องได้รับการคุ้มครองจากรัฐ

รัฐบาลขอความร่วมมือ

รัฐบาลย้ำว่า ประชาชนไม่ควรยอมแลกเปลี่ยนข้อมูลชีวภาพกับผลตอบแทนเพียงเล็กน้อย เพราะความเสียหายที่จะตามมาอาจใหญ่หลวงและแก้ไขไม่ได้ ทั้งยังขอให้ช่วยกันเป็นหูเป็นตา หากพบการชักชวนลักษณะดังกล่าวให้แจ้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทันที

นายอนุกูลทิ้งท้ายว่า “ข้อมูลชีวภาพเป็นเหมือนกุญแจดิจิทัลของชีวิตมนุษย์ หากยอมแลกเพียงเพื่อเงินหลักร้อยหลักพัน วันนี้อาจยังไม่เกิดปัญหา แต่ในอนาคตความเสียหายที่ตามมาอาจประเมินค่าไม่ได้”

แนวโน้มในอนาคต

คาดว่ารัฐบาลจะต้องเร่งทบทวนมาตรการด้านกฎหมายไซเบอร์ เพิ่มบทลงโทษต่อผู้ล่อลวงเก็บข้อมูลชีวภาพอย่างผิดกฎหมาย รวมถึงผลักดันการให้ความรู้ประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันในโลกดิจิทัล

หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม อาจถูกมอบหมายบทบาทมากขึ้นในการติดตาม ตรวจสอบ และสร้างมาตรฐานความปลอดภัยด้าน Biometric Data

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด บีจี ปทุม พบ เมืองทอง ฟุตบอลไทยลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68