ไม่ธรรมดา ข้าวคาร์บอนต่ำเวียดนาม สร้างมูลค่าใหม่ให้ตลาดข้าวโลก
เวียดนามสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในตลาดข้าวโลก ด้วยข้าวสายพันธุ์ใหม่ “ข้าวคาร์บอนต่ำ” นอกจากจะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ยังขายได้ราคาสูงถึงกว่า 3 หมื่นบาทต่อตัน!
KEY
POINTS
- เวียดนามประสบความสำเร็จในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตรด้วยนวัตกรรม "ข้าวคาร์บอนต่ำ" ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสามารถขายได้ในราคาสูงถึง 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน เทียบเท่าข้าวเกรดพรีเมียม
- ข้าวคาร์บอนต่ำถูกสร้างแบรนด์ให้เป็นสินค้าพรีเมียมภายใต้ตราสัญลักษณ์ “Green & Low-Emission Vietnamese Rice” เพื่อเจาะตลาดเฉพาะกลุ่มที่ใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อมสูง เช่น ญี่ปุ่นและออสเตรเลีย
- ความสำเร็จนี้เกิดจากการใช้เทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ เช่น การจัดการน้ำแบบสลับเปียกแห้ง (AWD) เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำให้เวียดนามมีความได้เปรียบและเป็นผู้นำในตลาดข้าวเพื่อความยั่งยืนเชิงพาณิชย์
อย่าแปลกใจถ้าจะบอกว่า วันนี้เวียดนามกำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดข้าวโลกด้วยนวัตกรรมใหม่ที่เข้ามาในช่วงที่โลกต้องการผลิตภัณฑ์หรือสินค้าที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด คาร์บอนน้อยที่สุด และสิ่งที่เวียดนามทำได้ดีล่าสุดคือ "ข้าวคาร์บอนต่ำ" (Low‑carbon rice)
ข้าวสายพันธุ์นี้ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นสินค้าเกษตรที่มีมูลค่าสูง สามารถขายได้ถึง 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน เทียบเท่ากับข้าวหอมมะลิระดับพรีเมียมของไทย ข้าวคาร์บอนต่ำของเวียดนามจึงกลายเป็นตัวอย่างสำคัญของการ “สร้างมูลค่าเพิ่ม” ให้กับสินค้าเกษตรได้เป็นอย่างดี
ที่สำคัญข้าวคาร์บอนต่ำเวียดนามไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลจากความร่วมมือระหว่างรัฐบาล ผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตร และผู้ผลิตท้องถิ่น ที่ต้องการสร้างแบรนด์ใหม่เพื่อเจาะตลาดพรีเมียม โดยเฉพาะประเทศที่ใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อมสูง เช่น ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และสหภาพยุโรป
สิ่งที่ทำให้ข้าวคาร์บอนต่ำเวียดนามโดดเด่นคือการ สร้างแบรนด์ใหม่ ตอบโจทย์ตลาดพรีเมียม
ข้าวสายพันธุ์นี้ถูกพัฒนาขึ้นเองในเวียดนาม ทำให้มีจุดขายเฉพาะตัว และตรงกับความต้องการของตลาดที่เน้นสินค้าเพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมสูง เช่น ญี่ปุ่นและออสเตรเลีย ซึ่งเริ่มมีการสั่งซื้อข้าวคาร์บอนต่ำไปแล้ว โดยล็อตแรกจำนวน 500 ตันส่งไปญี่ปุ่น และมีแผนส่งอีกประมาณ 3,000 ตันไปยังออสเตรเลียภายในปี 2025 ราคาขายปลีกอยู่ที่ประมาณ 820 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน (ราว 26,535 บาท) และเมื่อรวมค่าขนส่งแล้วอาจสูงถึง 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน ซึ่งสูงกว่าราคาข้าวส่งออกทั่วไปของเวียดนามถึงสองเท่า
การส่งออกข้าวคาร์บอนต่ำยังสะท้อนยุทธศาสตร์การตลาดที่แข็งแกร่งของเวียดนาม ทำให้ประเทศนี้สามารถรักษาตำแหน่งผู้ส่งออกข้าวอันดับ 2 ของโลกไว้ได้ แม้ภาพรวมการส่งออกข้าวในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2025 จะประสบปัญหามูลค่าลดลง 15.9% เนื่องจากราคาข้าวส่งออกเฉลี่ยลดลงเหลือ 514 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน แต่ข้าวคาร์บอนต่ำกลับช่วยสร้างความได้เปรียบด้านราคาให้กับเวียดนาม ขณะที่ราคาข้าวหัก 5% ในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 395 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน สูงกว่าข้าวจากไทย ปากีสถาน และอินเดีย
ในระดับโลก ปัจจุบันเวียดนามเป็นประเทศเดียวที่มีข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับการส่งออกข้าวคาร์บอนต่ำเชิงพาณิชย์
โดยมีผู้ผลิต 7 รายที่ได้รับการรับรองให้ใช้ตราสินค้า “Green & Low‑Emission Vietnamese Rice” คาดว่าผลผลิตรวมในปี 2025 จะอยู่ราว 19,000 ตัน สำหรับประเทศอื่น แม้มีการทดลองลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการปลูกข้าว เช่น การใช้น้ำแบบ AWD (Alternate Wetting and Drying) ในญี่ปุ่นหรือฟิลิปปินส์ แต่ยังไม่มีรายงานเกี่ยวกับการส่งออกข้าวคาร์บอนต่ำในเชิงพาณิชย์
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า การสร้างแบรนด์ข้าวพรีเมียมที่เน้นความยั่งยืน เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตรและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันระหว่างประเทศ ขณะที่ไทยซึ่งเคยครองตำแหน่งผู้นำตลาดโลก ต้องพิจารณาปรับกลยุทธ์ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวที่ยั่งยืน สร้างแบรนด์พรีเมียม และตอบโจทย์ตลาดผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพื่อทวงคืนความเป็นผู้นำในตลาดข้าวโลกอีกครั้ง
จุดเด่นและความได้เปรียบของข้าวคาร์บอนต่ำ
- แบรนด์และการตลาด
ข้าวคาร์บอนต่ำเวียดนามใช้ตราสัญลักษณ์ “Green & Low‑Emission Vietnamese Rice” ซึ่งช่วยสร้างภาพลักษณ์สินค้าพรีเมียม แตกต่างจากข้าวทั่วไป และเป็นตัวเลือกใหม่สำหรับผู้บริโภคที่พร้อมจ่ายสูงเพื่อสินค้าที่ยั่งยืน - ราคาสูงกว่าข้าวทั่วไปสองเท่า
ราคาขายปลีกอยู่ที่ราว 820 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน และเมื่อรวมค่าขนส่งอาจสูงถึง 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน ขณะที่ข้าวส่งออกปกติของเวียดนามอยู่ที่ประมาณ 395–514 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน - ประสิทธิภาพด้านสิ่งแวดล้อม
ข้าวคาร์บอนต่ำช่วยลด การปล่อยก๊าซมีเทนจากนาข้าว ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้การเกษตรมีผลกระทบต่อภาวะโลกร้อน การใช้เทคนิค AWD (Alternate Wetting and Drying) ในการจัดการน้ำและการปลูกสายพันธุ์ที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ ช่วยให้เวียดนามสร้างความได้เปรียบเชิงสิ่งแวดล้อม
เทคนิคการปลูกและการลดคาร์บอน
ข้าวคาร์บอนต่ำเวียดนามไม่ได้เป็นเพียงเรื่องการตลาด แต่เกิดจาก เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเกษตร เช่น
- AWD (Alternate Wetting and Drying): การปล่อยน้ำในนาข้าวแบบสลับเปียก-แห้ง ลดการปล่อยมีเทนได้มากถึง 30%
- การใช้ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยชีวภาพ: ลดการปล่อยก๊าซไนตรัสออกไซด์
- การปรับปรุงพันธุ์ข้าว: สายพันธุ์ใหม่ที่โตเร็ว มีระบบรากที่สามารถดูดซับคาร์บอนได้ดี
เทคนิคเหล่านี้ช่วยให้ข้าวคาร์บอนต่ำเวียดนามมี คุณภาพและความยั่งยืนสูง ทำให้สามารถเข้าไปสู่ตลาดพรีเมียมที่ผู้บริโภคใส่ใจสิ่งแวดล้อม
ยิ่งกว่านั้นการส่งออกไปญี่ปุ่นและออสเตรเลียแสดงให้เห็นถึงศักยภาพตลาดพรีเมียมระดับโลก และแนวโน้มการเติบโตของสินค้าสายเกษตรยั่งยืนที่สามารถขายในราคาสูงกว่าข้าวทั่วไปถึง 2–3 เท่า
อ้างอิง: AP News / thaibiz-vietnam.com / ฐานเศรษฐกิจ


