พนง.รฟท. ยันใช้สิทธิรักษา 'รัฐวิสาหกิจ' เบิกตรง-ไม่สำรองจ่าย ผ่านกลไก สปสช.
โพสต์ทูเดย์ หาคำตอบกรณีศึกษา สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย ผลักดันแก้ระบบเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล 'รัฐวิสาหกิจ' โดยไม่สำรองจ่าย ผ่านกลไกระบบของสปสช.
KEY
POINTS
- พนักงาน รฟท. ต้องการแก้ปัญหาระบบเบิกค่ารักษาพยาบาลที่ปัจจุบันต้องสำรองจ่ายเงินไปก่อน แล้วจึงนำใบเสร็จมาเบิกคืนในภายหลัง ซึ่งสร้างความเดือดร้อน
- ข้อเสนอคือให้ รฟท. นำงบประมาณค่ารักษาพยาบาลไปให้ สปสช. เป็นผู้บริหารจัดการ เพื่อให้โรงพยาบาลสามารถเรียกเก็บเงินจาก สปสช. ได้โดยตรง
- สหภาพฯ ยืนยันว่าต้องการใช้เพียง "กลไก" การเบิกจ่ายของ สปสช. เท่านั้น ไม่ได้ต้องการเปลี่ยนไปใช้สิทธิบัตรทอง เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์เดิมของพนักงานรัฐวิสาหกิจไว้
'ความต่างของสิทธิการรักษาพยาบาลระหว่าง 'ข้าราชการ' และ 'รัฐวิสาหกิจ' อย่างพวกเรา
คือ ข้าราชการไม่ต้องสำรองจ่าย แต่รัฐวิสาหกิจต้องสำรองจ่ายก่อน
ซึ่งทำให้พนักงาน-ลูกจ้าง รฟท. เข้าถึงการรักษาได้น้อย เพราะค่าใช้ที่ต้องออกก่อนสูง'
ส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ ที่ โพสต์ทูเดย์ ได้หาคำตอบมาให้จาก นายสราวุธ สราญวงศ์ ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย
หลังมีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ
เริ่มไทม์ไลน์ตั้งแต่ปี 8 ม.ค. 2567 สหภาพแรงงานฯ (สร.รฟท.) ขอบคุณ บอร์ด สปสช. ที่เห็นชอบ เข้ามาบริหารจัดการ “สิทธิรักษาพยาบาล รฟท."
จนกระทั่งวันที่ 13 ส.ค. 2568 ที่ผ่านมา ได้มีข่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นนี้ตามที่ สปสช. ออกข่าว ระบุว่า บอร์ด สปสช. รับทราบข้อสังเกต รฟท. ใช้สิทธิรักษาในระบบบัตรทอง ต้องฟังความเห็นตามกฎหมายก่อน
โดยส่วนหนึ่งของข่าว มีเนื้อหาได้แก่ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี ได้กล่าวว่า สำหรับความเป็นมาของเรื่องดังกล่าวมาจากมติที่ประชุมบอร์ด สปสช. ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2568 ที่เห็นชอบร่างข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการดำเนินงานเพื่อให้ผู้มีสิทธิได้รับสวัสดิการรักษาพยาบาลของ รฟท. ใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติฯ และเห็นชอบร่าง พ.ร.ฎ.กำหนดให้ผู้ปฏิบัติงานและครอบครัวผู้ปฏิบัติงาน รฟท. ใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขฯ ก่อนที่ต่อมาได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ รฟท. ต่อเรื่องดังกล่าวเมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2568
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา โพสต์ทูเดย์ จึงได้สอบถามทางสหภาพแรงงานฯ ถึงความกระจ่างถึงข้อเรียกร้องดังกล่าวที่เกิดขึ้น
เพราะอาจมีคำถามที่ว่า หากเป็นไปตามที่ทางสปสช. แถลงข่าว นั่นหมายความว่า สิทธิการรักษาของ พนง.-ลูกจ้าง รฟท. อาจจะต้องลดลงจากสิทธิเบิกตรง เป็น สิทธิบัตรทองหรือไม่?
ปัญหาจาก 'ระบบเบิกจ่าย' ต้องสำรองจ่ายก่อนจนพนง.-ลูกจ้าง ได้รับผลกระทบ
นายสราวุธ สราญวงศ์ ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ปัญหาของพนง.รฟท. คือ แต่เดิมการเบิกค่ารักษาพยาบาลของพนักงานรถไฟพนักงานรัฐวิสาหกิจใช้สิทธิเบิกตามระเบียบกระทรวงการคลัง และตามกฎหมายของรัฐวิสาหกิจ
แต่เมื่อมองไปยังส่วนของข้าราชการ เวลาไปใช้สิทธิเบิกตรงแบบเดียวกับรัฐวิสาหกิจ แต่ไม่ต้องสำรองค่าใช้จ่าย ต่างกับพนักงานของรฟท. เพราะในกรณีเป็นผู้ป่วยนอก ต้องมีการจ่ายเงินไปก่อนแล้วค่อยกลับมาเบิกทีหลัง
"บางครั้งค่าใช้จ่ายสูง ก็เกิดความเดือดร้อน อย่างเช่นกรณีการฟอกไต ต้องฟอกบางคนวันเว้นวัน อาทิตย์หนึ่งก็ตกสองหมื่น .. ส่วนเวลาการเบิกจะใช้เวลาเบิกแล้วแต่เช่น ในพื้นที่ในเมืองใช้เวลา 7 -14 วัน แต่ในบางพื้นที่ซึ่งห่างจากสำนักงานก็จะใช้เวลามากกว่านั้น"
ทั้งนี้ นายสราวุธกล่าวว่าในกรณีของผู้ป่วยในโรงพยาบาลจะเป็นเจ้าหนี้คิดค่าใช้จ่ายกับหน่วยงานได้เลย แต่ในกรณีผู้ป่วยนอกกลับต้องสำรองจ่ายและมาเบิกคืนทีหลัง
" เราต้องการให้เวลาเก็บค่ารักษาพยาบาล โรงพยาบาลสามารถมาเก็บที่ สปสช.ได้เลย ซึ่งหลักการ ยกตัวอย่างอย่าง เช่น ปกติการรถไฟฯ ใช้เงินสิทธิรักษาพยาบาลรวมทั้งสิ้นต่อปีราวประมาณ 700 ล้านบาท การรถไฟฯ ก็ตั้งงบไปไว้ที่ สปสช. โดยสปสช.จะคิดคาบริหารจัดการราว 1.5% ส่วนพนักงานเวลาไปรักษาตัวที่โรงพบาบาลก็ไม่ต้องจ่ายเงิน เพราะโรงพยาบาลจะทำหน้าที่ในการเคลียร์กับ สปสช. ภายใต้กองทุนดังกล่าวนี้"
โพสต์ทูเดย์ สอบถามต่อว่า ทำไมถึงไม่ให้รฟท. เคลียร์ค่าใช้จ่ายตรงกับโรงพยาบาลเลย นายสราวุธตอบว่า หากเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่พนักงานส่วนใหญ่อยู่เพียงแค่ในกรุงเทพฯ ก็ทำได้เพราะมีพนักงานไม่เยอะ และจำกัดแค่พื้นที่บางพื้นที่ แต่สำหรับพนักงานของการรถไฟฯ มีทุกที่ทั่วประเทศ จึงมีความยุ่งยากมากกว่า
การใช้โครงข่ายของ สปสช. จึงช่วยในการบริหารจัดการได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม นั่นหมายความว่า ทางพนง.รฟท.
จะต้องใช้บริการโรงพยาบาลในเครือข่ายของ สปสช. หรือระบบบัตรทอง เท่านั้น
" ถ้าเป็นรัฐวิสากิจที่มีกําไร ก็อาจจะมีดีลกับโรงพยาบาลเอกชนได้ มีขอระเบียบเพิ่มเติมในการรักษาคลินิกโรงบาลเอกชนอะไรแต่ว่าของการรถไฟฯ เนี่ยขาดทุนด้วย และโดนพื้นฐานส่วนใหญ่ก็จะมีสิทธิเบิกในโรงพยาบาลของรัฐ ส่วนเอกชนก็แค่บางส่วนเท่านั้น" นายสราวุธตอบข้อสงสัย
ไม่เข้า 'บัตรทอง' แต่จ่ายผ่านกลไก 'สปสช.'
โพสต์ทูเดย์ สอบถามจากข่าวของสปสช. ที่ลงเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568 ระบุว่า ประชุมบอร์ด สปสช.มีมติรับทราบข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง การดำเนินการตราพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ให้ผู้ปฏิบัติงานและครอบครัวของผู้ปฏิบัติงานการรถไฟแห่งประเทศไทยใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ...
และจะมีการดำเนินการตรา พ.ร.ฎ. ซึ่งต้องมีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิการได้รับเงินสวัสดิการรักษาพยาบาล หรือสิทธิประโยชน์ด้านรักษาพยาบาลของผู้ปฏิบัติงานและครอบครัวผู้ปฏิบัติงานการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เพื่อให้สอดคล้องกับการรับบริการสาธารณสุขตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติฯ ที่บริหารจัดการโดย สปสช.
เนื่องจากกรณีดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการปรับปรุงสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับเงินรัฐวิสาหกิจ จึงต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตาม พ.ร.บ.แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 ก่อน จึงจะสามารถดำเนินการต่อไปได้
นายสราวุธ ได้ไขความกระจ่างในประเด็นนี้ว่า
" โดยกฎหมายหลักที่ใช้ในเรื่องของการเบิกจ่ายตรง คือ พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ ศ 2545 ที่กําหนดไว้ในมาตรา 5 กับมาตรา 9 เกี่ยวกับเรื่องของสิทธิในการรักษาพยาบาลเบื้องต้นพื้นฐาน
หลักเจตนารมณ์ของกฎหมายฉบับนี้ต้องการให้ประชาชนคนไทยมีสิทธิเท่าเทียมกันในเรื่องของ การใช้สิทธิในการรักษาพยาบาลแต่ที่นี้เองในส่วนของรัฐวิสาหกิจเหมือนกับข้าราชการ มีสิทธิในเรื่องของการเบิกค่ารักษาพยาบาลสูงกว่าสิทธิปากท้องที่ได้รับตามพระราชบัญญัติฉบับนี้
ประกอบกับเมื่อทางรฟท. ทำ MOU กับสปสช. โดยหลักว่าการที่จะอยู่ในกองทุนนี้จะต้องเสนอเข้าครม. เพื่อให้ความเห็นชอบและออกเป็นพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ซึ่งเงื่อนไขการออกพระราชกฤษฎีกาโดยหลักการก็คือว่าจะต้องมีสิทธิเท่าเทียมกันก่อน
แต่สิทธิของรัฐวิสาหกิจบางส่วนสูงกว่าประชาชนทั่วไป การจะอยู่ในกองทุนนี้จึงต้องไปแก้ไขสิทธิ ซึ่งจะทำให้สิทธิของพนักงาน รฟท.ในการรักษาพยาบาลลดลง ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนสภาพการจ้างเลย"
นายสราวุธกล่าวว่า กระบวนการนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับทาง รฟท. ว่าจะคงสิทธิเดิมหรือไปใช้กับ สปสช. แต่เจตนารมณ์ของสหภาพฯ รฟท. ไม่ได้ต้องการไปอยู่สิทธิบัตรทองแต่อย่างใด
" เจตนารมณ์เราไม่ต้องการไปอยู่สิทธิบัตรทอง แต่เพียงว่าใช้ลักษณะของเหมือนข้าราชการนะครับว่าพนักงานเนี่ยไปรักษาตัวในโรงพยาบาลใช้ประชาชนใบเดียว ส่วนเวลาเก็บค่ารักษาพยาบาลเนี่ย โรงพยาบาลก็จะมาเก็บกับที่ สปสช โดยการรถไฟเนี่ยจะต้องโอนเงินงบประมาณไปให้ก่อน
แต่ว่าถ้ากระบวนการที่ทางกฤษฎีกา กับทางกระทรวงสาธารณสุขตีกลับมาว่า ทางการรถไฟจะใช้ตามระบบของ สปสช. ตาม พ.ร.บ.เลย พนักงานก็ไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว เพราะว่าทําให้สิทธิ์เค้าลดลง"
อย่างไรก็ตาม นายสราวุธกล่าวว่า ได้มีการพูดคุยเบื้องต้นสามฝ่าย ได้แก่สหภาพแรงงานฯ สปสช. และรฟท. ว่าไม่ต้องเสนอขั้นตอนไปที่ครม. และไม่ต้องไปแก้ไขเป็นพระราชกฤษฎีกา ตามแบบอย่างอย่างที่หน่วยงานอย่าง ขสมก. เคยปฏิบัติมา
" ในส่วนของเรื่องของสิทธิการรักษาพยาบาลเนี่ย เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน เป็นแรงจูงใจให้คนเข้ามาทำงานในรัฐวิสาหกิจ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงแล้วดีขึ้น สหภาพฯ ก็ยอมรับ แต่ถ้าเปลี่ยนแล้วสิทธิลดลงกว่าเดิม สหภาพฯ ก็ไม่เห็นด้วย"


