กรมวิทย์ฯ ส่งมอบเทคฯ ผลิต ATMPs รักษามะเร็งให้ BKGI คาด 4 ปีได้ใช้!
กรมวิทย์ฯ ส่งมอบเทคโนโลยีผลิตเซลล์ภูมิคุ้มกันบำบัดรักษามะเร็ง แก่ 'BKGI' เพื่อต่อยอดและขึ้นทะเบียนยา คาด 4 ปีได้ใช้งาน! ย้ำบทบาทของกรมฯ พิสูจน์ว่า ATMPs มีคุณภาพจริง?
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จับมือ บริษัทแบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BKGI ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเซลล์ภูมิคุ้มกันบำบัดชนิด Dendritic cells (DCs) และ Cytokine-Induced Killer cells (CIK) สำหรับรักษามะเร็ง โดยมีการลงนามเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ณ ศูนย์การประชุมอิมแพคฟอรั่ม เมืองทองธานี โดยมี นายแพทย์ยงยศ ธรรมวุฒิ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นประธาน พร้อมด้วย นางสาวปนัดดา เทพอัคศร ผู้อำนวยการสถาบันชีววิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ และนายกรพต อัศวินวิจิตร กรรมการบริหารจากบริษัทแบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่นฯ ร่วมลงนาม
การขับเคลื่อนในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย 'เศรษฐกิจสุขภาพ' ที่พยายามจะผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตผลิตภัณฑ์การแพทย์ชั้นสูง หรือ ATMPs ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของกระทรวงสาธารณสุข
การถ่ายทอดเทคโนโลยีในครั้งนี้ เป็นการถ่ายทอดเทคโนโลยีกรรมวิธีการเตรียมเซลล์ภูมิคุ้มกันบำบัดชนิด Dendritic cells (DCs) และ Cytokine-Induced Killer cells (CIK) พร้อมกระบวนการควบคุมคุณภาพ ซึ่งเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีโดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อนำไปใช้รักษาโรคมะเร็ง
สำหรับเซลล์ Dendritic cells (DCs) และ Cytokine-induced killer cells (CIK) เป็นเซลล์ภูมิคุ้มกันที่ได้รับการพัฒนาและผลิตจากเซลล์เม็ดเลือดขาวของผู้ป่วย ผ่านกระบวนการเฉพาะในห้องปฏิบัติการเพื่อกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้สามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้อย่างจำเพาะเจาะจง โดยเฉพาะในผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ซึ่งเป็นหนึ่งในมะเร็งที่พบบ่อยและคร่าชีวิตหญิงไทยมากที่สุด
ในการแถลงข่าวมีการเปิดเผยว่า การพัฒนาเซลล์ภูมิคุ้มกันในครั้งนี้ จะเจาะจงไปที่ 3 โรคมะเร็งสำคัญได้แก่ โรคมะเร็งเต้านม และโรคมะเร็งตับ
นายแพทย์ยงยศ ธรรมวุฒิ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ในวันนี้จะเป็นการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้าน ATMPs สู่ภาคเอกชนอย่างเป็นรูปธรรม ครั้งแรกของประเทศไทย ที่ทางกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เองได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต ATMPs ทั้ง DCs และ CIK ให้กับทางภาคเอกชน
" บทบาทหนึ่งของกรมคือการคิดนวัตกรรมใหม่ๆ สำหรับการขับเคลื่อนในเรื่องของ ATMPs ทางกรมฯ ได้เตรียมไว้ คือ เรื่องของการพิสูจน์ทราบ ATMPs จากต่างประเทศที่จะมาขึ้นทะเบียนกับ อย. เราจะมีสถาบันชีววัตถุ ซึ่งจะคอยพิสูจน์ว่าผลิตภัณฑ์ ATMPs เหล่านั้นมีคุณภาพจริงหรือไม่ ปลอดภัยหรือไม่ และนักวิทยาศาสตร์ของเราก็มีการพัฒนาเรื่อง ATMPs มากขึ้นเรื่อยๆ "
ขั้นตอนต่อไปหลังรับมอบเทคโนโลยี
ดร.ฉัตรชัย นพวิชัย ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท แบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทผู้รับมอบเทคโนโลยี เปิดเผยกระบวนการพัฒนาต่อจากนี้ว่า ได้มีการดําเนินการร่วมกับทางคณะผู้วิจัยมาเป็นระยะเวลาค่อนข้างนาน ตอนนี้อยู่ในขั้นที่เรียกว่าการ Proof of Concept (หรือ การพิสูจน์แนวคิดเพื่อแสดงให้เห็นว่าแนวคิดหนึ่งสามารถนำไปใช้งานได้จริงหรือไม่ในเบื้องต้น)
" เราพบว่าเซลล์ที่ผลิตได้เป็นจํานวนมากพอและมีคุณภาพมากพอที่จะใช้ในการรักษาโรคได้ โดยกลุ่มของโรคที่เรามุ่งเป้าในช่วงแรกก็จะเป็นมะเร็งเต้านมและมะเร็งตับ นอกจากนี้ เรายังมองในเรื่องของโรคที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ เช่น อัลไซเมอร์ หรืออื่นๆ ต่อไปด้วยอีกเช่นกัน
สำหรับกระบวนการถัดไป ก็จะเป็นการเริ่มทดสอบในสัตว์ทดลอง ซึ่งก่อนช่วงนี้ก็จะเริ่มมีผล Preliminary data (ข้อมูลเบื้องต้น) มาแล้ว แต่อาจจะต้องขออุบไว้ก่อน หลังจากนั้นพอได้เอกสารครบทั้งหมดแล้ว เราก็จะได้มีการประสานงานกับทาง อย. ในการวางแผนเพื่อขึ้นทะเบียน และมีการทำ IND เพื่อทดสอบในคนต่อไป โดยไทม์ไลน์ที่เราคาดหวังไว้จะใช้เวลาไม่เกิน 4 ปี จะสามารถออกมาสู่ตลาดและใช้จริงได้"
เลือกงานวิจัยไทย ทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงการรักษาได้มากกว่า
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าว ได้สอบถามยังเหตุผลของการร่วมมือครั้งนี้ โดย ดร.ฉัตรชัย นพวิชัย กล่าวว่า เทคโนโลยีของต่างประเทศ หากมีการนำเข้ามาจะมีค่าใช้จ่ายที่สูง ฉะนั้นโอกาสที่จะทําให้สามารถทําราคาให้เข้าถึงกับประชาชนได้เป็นไปได้ยาก
" ผมขอยกตัวอย่างเช่น ยารักษามะเร็งตัวหนึ่งเป็นของบริษัทจากต่างประเทศเนี่ย มีมูลค่าสูงถึงประมาณ 15 ล้านบาท คนจึงไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มยานี้ได้มาก"
เหตุผลประเด็นที่ 2 ดร.ฉัตรชัย ตอบว่า เซลล์ CIK และ DCs มีความพิเศษที่สามารถจําเพาะเจาะจงและดีไซน์ให้เข้าไปในการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งที่เป็นก้อนได้ ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่มีการแข่งขันสูงมากในต่างประเทศ
ตนเองมีความยินดีมากอย่างยิ่งที่ประเทศไทยมีหน่วยงานที่มีศักยภาพสูง ซึ่งการที่บริษัทได้ค้นพบงานวิจัยชิ้นนี้เรียกว่าเหมือนเจอเพชร! ซึ่งก็สอดคล้องกับการระบาดของประเทศไทยทั้งในมะเร็งเต้านมและมะเร็งตับ ฉะนั้น เซลล์ตัวนี้น่าจะตอบโจทย์มากในประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มของประชากรและผู้ป่วยไทย โดยคาดว่าหากสามารถออกมาในตลาดได้จะสามารถลดค่าใช้จ่ายเมื่อเทียบกับการนำเข้าจากต่างประเทศได้ราว 5 เท่า
ท้ายนี้ ทาง อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ยืนยันกับผู้สื่อข่าว ต่อประเด็นความกังวลของการใช้ 'เซลล์' ในประเทศไทยว่า ระเบียบการขึ้นทะเบียนของอย.นั้นมีความเข้มงวด และในส่วนของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เอง จะพยายามเลือกคู่สัญญาที่มีความสามารถทางเทคโนโลยีสูง มีความหนาแน่นทางธรกิจการเงินมาเป็นคู่สัญญา และมีการพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุดสำหรับประชาชนคนไทยต่อไป
ทั้งนี้ ความร่วมมือครั้งสำคัญดังกล่าว เป็นความคืบหน้าล่าสุดของ 'นโยบายขับเคลื่อน ATMPs เพื่อผลักดันและเสริมความแข็งแกร่งด้าน Medical Hub ของประเทศไทย' ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าจะเป็นเครื่องยนต์ของเศรษฐกิจขุมใหม่ให้แก่ประเทศ ท่ามกลางความกังวลด้านความปลอดภัย และประสิทธิภาพที่หลายฝ่ายรวมถึงประชาชนจะต้องเฝ้าระวังและจับตากันต่อไป เพื่อให้การผลักดันด้าน ATMPs เป็นไปอย่างยั่งยืน.


