ขงจื๊อในยุค AI ปัญญาแห่งอารยธรรมพลิกโฉมการศึกษาไทย-จีน สู่ความปรองดอง
ไทยและจีนเปิดฟอรั่มใหญ่ฉลอง 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต พร้อมถกแนวทางใช้ AI พลิกโฉมการศึกษาไร้พรมแดน ตอกย้ำบทบาทของปรัชญาขงจื๊อในการสร้างความเข้าใจโลกและร่วมพัฒนาอารยธรรมในยุคดิจิทัล
KEY
POINTS
- ไทยและจีนเปิดฟอรั่มใหญ่ฉลอง 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต กับบทบาทของ "ปรัชญาขงจื๊อ" ในยุคดิจิทัล ผ่านประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการที่ไม่ธรรมดา
- มุมมองไทย-จีนกับการพลิกโฉมการศึกษาด้วยเทคโนโลยี AI และความร่วมมือระหว่างประเทศ
- สถิติความร่วมมือด้านการศึกษาไทย-จีนที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด
เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ณ โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ สภาสหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติ โดยการนำของมาดามซุน ชุนหลาน ประธานสหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติ ได้ร่วมกับประเทศไทยจัดการประชุม “ฟอรั่มอารยธรรมแห่งความปรองดองประจำปี 2025” ภายใต้แนวคิด "อยู่ร่วมกันด้วยความปรองดอง: ส่งเสริมอารยธรรมให้เจริญก้าวหน้า" การประชุมครั้งนี้มีความสำคัญยิ่ง เนื่องจากเป็นการเฉลิมฉลอง ครบรอบ 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนถึงความผูกพันอันแน่นแฟ้นยาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ
การประชุมสัมมนาฟอรั่มอารยธรรมแห่งความปรองดองจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 5 แล้ว และประสบความสำเร็จอย่างสูงในการเสริมสร้างการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างประเทศทั่วโลก รวมถึงส่งเสริมการพัฒนาร่วมกันของอารยธรรมหลากหลาย จนกลายเป็นเวทีการสนทนาอารยธรรมและการแลกเปลี่ยนทางวิชาการที่มีอิทธิพลในระดับนานาชาติ การเลือกจัดการประชุมสัมมนาในประเทศไทยในครั้งนี้จึงเป็นจุดสำคัญทางประวัติศาสตร์ของการครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีนด้วย
สหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติ ก่อตั้งขึ้นในปี 1994 โดยนักวิชาการผู้มีชื่อเสียงจากหลากหลายประเทศทั่วโลก สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน สิ่งที่หลายคนอาจไม่ทราบคือ สหพันธ์ฯ ไม่ได้เป็นเพียงองค์กรส่งเสริมภาษาและวัฒนธรรมจีนในระดับทั่วไป แต่เป็น องค์กรที่ปรึกษาพิเศษ (Special Consultative Status) ของคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ (ECOSOC) ตั้งแต่ปี 2003 ซึ่งสถานะนี้สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทและความสำคัญของสหพันธ์ฯ ในเวทีระหว่างประเทศอย่างเป็นทางการ
ประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการที่ไม่ธรรมดา
เดิมที สหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติถือกำเนิดขึ้นจากความริเริ่มของนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านปรัชญาขงจื๊อจากทั่วโลก ซึ่งตระหนักถึงความสำคัญของภูมิปัญญาขงจื๊อในการแก้ปัญหาความท้าทายระดับโลก แนวคิดหลักของการก่อตั้งคือการสร้างเวทีสำหรับการแลกเปลี่ยนทางวิชาการและวัฒนธรรม โดยยึดมั่นในหลักการสำคัญของปรัชญาขงจื๊อ ได้แก่:
- ความเสมอภาค (Equality): ทุกอารยธรรมและทุกวัฒนธรรมล้วนมีคุณค่าและควรได้รับการเคารพอย่างเท่าเทียม
- การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Mutual Learning): ส่งเสริมการเรียนรู้ซึ่งกันและกันระหว่างวัฒนธรรมต่างๆ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
- การเปิดกว้าง (Openness): เปิดรับแนวคิดใหม่ๆ และความหลากหลายทางวัฒนธรรม
ในช่วงแรกเริ่ม สหพันธ์ฯ มุ่งเน้นไปที่การจัดการประชุมสัมมนาทางวิชาการและการตีพิมพ์เผยแพร่งานวิจัยเกี่ยวกับปรัชญาขงจื๊อและอิทธิพลต่อสังคมโลก แต่ด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและบทบาทที่เพิ่มขึ้นในการส่งเสริมความปรองดองระหว่างอารยธรรม สหพันธ์ฯ จึงได้รับการยอมรับจากสหประชาชาติ ซึ่งทำให้มีโอกาสขยายขอบเขตกิจกรรมและมีส่วนร่วมในการอภิปรายประเด็นสำคัญระดับโลกมากยิ่งขึ้น
บทบาทที่ซับซ้อนและสำคัญ
การเป็นองค์กรที่ปรึกษาพิเศษของสหประชาชาติทำให้สหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติสามารถ
- มีส่วนร่วมในการประชุมและกิจกรรมของสหประชาชาติ: โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับประเด็นด้านวัฒนธรรม การศึกษา สิทธิมนุษยชน และการพัฒนาที่ยั่งยืน
- นำเสนอข้อมูลและความเชี่ยวชาญ: ให้คำปรึกษาและข้อมูลเชิงลึกแก่คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับมิติทางวัฒนธรรมและจริยธรรมของประเด็นสำคัญต่างๆ
- สร้างเครือข่ายและพันธมิตร: ทำงานร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศ องค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) และสถาบันวิชาการอื่นๆ เพื่อส่งเสริมค่านิยมสากลและความปรองดอง
การประชุมสัมมนา "ฟอรั่มอารยธรรมแห่งความปรองดอง" ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี (โดยครั้งล่าสุดนี้เป็นการจัดครั้งที่ห้า) ถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมเรือธงของสหพันธ์ฯ ซึ่งได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสำเร็จอย่างสูงในการเสริมสร้างการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างประเทศทั่วโลก และส่งเสริมการพัฒนาร่วมกันของอารยธรรมหลากหลาย จนกลายเป็นเวทีการสนทนาอารยธรรมและการแลกเปลี่ยนทางวิชาการที่มีอิทธิพลในระดับนานาชาติ
การเลือกจัดการประชุมสัมมนาครั้งนี้ในประเทศไทย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ครบรอบ 50 ปีการสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน จึงไม่เพียงแต่เป็นการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทวิภาคีเท่านั้น แต่ยังเป็นการเน้นย้ำถึงบทบาทของปรัชญาขงจื๊อและแนวคิดเรื่องความปรองดองในการสร้างสะพานเชื่อมวัฒนธรรมและส่งเสริมสันติภาพในระดับโลก ซึ่งเป็นพันธกิจสำคัญของสหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติมาโดยตลอด
การพลิกโฉมการศึกษาด้วยเทคโนโลยี AI และความร่วมมือระหว่างประเทศ
ภายในงานมีการอภิปรายแบบโต๊ะกลมในประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการ พลิกโฉมการศึกษาด้วยนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างบุคลากร โดยมีคณาจารย์ นักศึกษา และผู้บริหารจากสถาบันอุดมศึกษาทั้งไทยและจีนเข้าร่วมกว่า 50 ท่าน
ศ.ดร.YAGA Dan อธิบดีกรมความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้กล่าวเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างจีนและไทยที่เปรียบเสมือนเพื่อนและญาติสนิท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการศึกษา ซึ่งจีนให้ความสำคัญกับการศึกษาดิจิทัลเป็นอย่างมาก ผ่านแผนการศึกษาแห่งชาติ การเปิดแพลตฟอร์มบริการสาธารณะอัจฉริยะด้านการศึกษา และการจัดงาน World Digital and Education มาเป็นปีที่สาม ซึ่งในปีนี้จะจัดขึ้นที่เมืองอู่ฮั่นภายใต้หัวข้อ "การพัฒนาและเปลี่ยนแปลงการศึกษาในยุคอัจฉริยะ" โดยมีเป้าหมายเพื่อร่วมสร้างมาตรฐานใหม่ในยุคดิจิทัล และสร้างชุมชนการศึกษาดิจิทัลที่ปลอดภัย ครอบคลุม และเปิดกว้าง
ศ.ดร.YAGA Dan ยังได้เสนอให้ทั้งสองประเทศ แลกเปลี่ยนทรัพยากรดิจิทัล พัฒนาทักษะครู และสร้างแพลตฟอร์มการศึกษาดิจิทัลร่วมกัน เพื่อให้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนการเรียนการสอนด้านดิจิทัล โดยจีนได้ผลักดันเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่องและมีผู้เข้าร่วมอบรมในโครงการที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) นับพันคน
นอกจากนี้ จีนยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมด้านมนุษยศาสตร์เพื่อกระชับสายสัมพันธ์มิตรภาพไทย-จีน สนับสนุนการเรียนภาษาเพื่อความเข้าใจซึ่งกันและกัน
ปัจจุบันมี สถาบันขงจื๊อในประเทศไทยที่เปิดสอนภาษาจีนถึง 11 แห่ง และในปี 2024 มีผู้เรียนกว่า 90,000 คน และจัดการสอนภาษาจีนมากกว่า 2,300 ชั้นเรียน ขณะเดียวกัน จีนมีมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนภาษาไทยมากกว่า 40 แห่ง ซึ่งรวมถึงมหาวิทยาลัยที่ ศ.ดร.YAGA Dan เคยดำรงตำแหน่งอธิการบดี ซึ่งผลิตนักศึกษาในสาขาวิชาภาษาไทยจำนวนมาก จีนยังคงสนับสนุนโครงการสะพานฮั่นหยูเฉียว และยินดีต้อนรับครูและเยาวชนไทยเข้าร่วมโครงการเพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเยาวชนในเอเชีย รวมถึงสนับสนุนนักวิจัยไทย-จีนให้ทำงานร่วมกันอย่างยั่งยืน โดยจีนให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน
สถิติความร่วมมือด้านการศึกษาไทย-จีนที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด
ความสัมพันธ์ด้านการศึกษาระหว่างไทยและจีนมีความแน่นแฟ้นและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากสถิติที่สำคัญ
- นักศึกษาจีนในประเทศไทย ถือเป็นกลุ่มนักศึกษาต่างชาติที่ใหญ่ที่สุดในไทย โดยในปีการศึกษา 2567 (ตามข้อมูลจากกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม) มีนักศึกษาจีนในไทยสูงถึง 28,052 คน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่า 53% ของนักศึกษาต่างชาติทั้งหมดที่เข้ามาเรียนในระดับอุดมศึกษาในประเทศไทย และมีจำนวนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 24% ต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2563 – 2567) มหาวิทยาลัยหลายแห่งในไทยมีสัดส่วนนักศึกษาจีนสูงมาก เช่น มหาวิทยาลัยเกริก (71%) และมหาวิทยาลัยชินวัตร (79%)
- นักศึกษาไทยในประเทศจีน ประเทศจีนเป็นจุดหมายปลายทางการศึกษาที่ได้รับความนิยมอย่างสูงสำหรับนักศึกษาไทย โดยในปี 2561 มี นักศึกษาไทยไปเรียนที่จีนจำนวน 28,608 คน ซึ่งสูงเป็นอันดับสองรองจากเกาหลีใต้ และข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการในปี 2562 ระบุว่ามีนักศึกษาไทยในจีนถึง 31,800 คน ไทยยังได้รับทุนรัฐบาลจีน (CSC) มากที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งแสดงถึงความสำคัญของนักศึกษาไทยในนโยบายการศึกษาของจีน
มุมมองจากสถาบันการศึกษาชั้นนำของไทย
ศ.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวแสดงความยินดีที่ได้ร่วมงานนี้ ซึ่งถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์และความร่วมมือทางการเรียนรู้ เพื่อสร้างผู้นำที่จะช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจไทย-จีนให้แข็งแกร่ง แม้ว่าปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของการศึกษา แต่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมุ่งมั่นที่จะพัฒนาองค์ความรู้ให้เป็นความฉลาดอย่างยั่งยืน โดยความร่วมมือครั้งนี้ไม่ได้จำกัดเพียงด้านการศึกษาเท่านั้น แต่เป็นการร่วมมือเพื่อพัฒนาและเปลี่ยนแปลงโลก
ศ.วิเลิศเน้นย้ำว่าการศึกษาในปัจจุบันไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในห้องเรียนอีกต่อไป ในฐานะอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ท่านได้เป็นตัวแทนในการส่งเสียงถึงบทบาทสำคัญของการศึกษาระหว่างไทยและจีน ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น บทบาทของอุดมศึกษาในวันนี้คือการส่งเสริมให้เยาวชนมีความอยากรู้อยากเห็นในโลกกว้าง และการศึกษาคือเครื่องมือสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คน การศึกษาในวันนี้ต้องปรับตัวให้ ไร้ขอบเขต ไร้พรมแดน เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สามารถต่อยอดให้ประเทศพัฒนาต่อไปได้
รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) กล่าวว่า มข. เป็นมหาวิทยาลัยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ซึ่งมีความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมกับประเทศจีนใน 3 โครงการหลัก ได้แก่ การจัดการศึกษาสองปริญญา ความร่วมมือด้านการวิจัย และโครงการแลกเปลี่ยนการศึกษา ในยุคที่มีความเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี มข. ได้ปรับปรุงและจัดทำยุทธศาสตร์หลักในการปรับการเรียนการสอนโดยนำ AI เข้ามามีส่วนร่วม รวมถึงส่งเสริมการเรียนรู้การใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบทั้งในระดับอาจารย์และนักศึกษา
รศ. ดร. รัฐสิทธิ์ สุขะหุต รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) กล่าวถึงการใช้ AI และเทคโนโลยีดิจิทัลในมหาวิทยาลัยว่า มช. ได้จัดทำประกาศการใช้ AI เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการใช้ AI ในมหาวิทยาลัยอย่างถูกต้องตามหลักจริยธรรมและกฎหมาย รวมถึงจัดทำแนวปฏิบัติและคู่มือเพื่อให้คณาจารย์และนักศึกษานำไปปรับใช้ได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมการสอน เพื่อสร้างอาจารย์รุ่นใหม่ที่สามารถใช้ AI ได้อย่างถูกต้อง
ผศ.ดร. เถกิง วงศ์ศิริโชติ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) กล่าวว่า ม.อ. ซึ่งตั้งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทย และมี 5 วิทยาเขตในภาคใต้ทั้งหมด มีนักศึกษาชาวจีนประมาณ 200-300 คน และมีนวัตกรรมที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนวัตกรรมที่ได้รับความร่วมมือจากประเทศจีน เช่น เทคโนโลยียางพารา ซึ่งได้รับความร่วมมือจาก Qingdao University of Science and Technology (QUST) และนำไปสู่การผลิตยางพาราไทย-จีนที่บริษัท Linglong ได้นำไปใช้จริงในสินค้าบางรุ่น นอกจากนี้ ม.อ. ยังมีโครงการร่วมกับมหาวิทยาลัยฟู่ต้านในเรื่องเทคโนโลยีอวกาศ เพื่อร่วมออกแบบดาวเทียมบางส่วนที่จะส่งออกไปนอกโลก และยังทำงานด้านเซมิคอนดักเตอร์ โดยได้ส่งนักศึกษาประมาณ 50 คนไปฝึกงานกับมหาวิทยาลัยในไต้หวันและเซินเจิ้น ซึ่งประเทศไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ผศ.ดร. เถกิงกล่าวเสริมว่า ม.อ. ซึ่งอยู่ในพื้นที่ติดทะเล มีโครงการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับมหาสมุทร และยินดีต้อนรับพันธมิตรใหม่ๆ เข้ามาร่วมวิจัย นอกจากนี้ ม.อ. ยังให้ความสำคัญกับภาวะโลกร้อน และมุ่งหวังที่จะร่วมวิจัยกับพันธมิตรเพื่อพัฒนาในเรื่องนี้ รวมถึงประเด็นฝุ่น PM2.5 และ PM0.1 ด้วยเช่นกัน
มุมมองจากสถาบันการศึกษาชั้นนำของจีน
ศ.ดร. YOU Yancheng รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยเซี่ยเหมิน กล่าวถึงด้านเทคโนโลยี AI ว่า มหาวิทยาลัยเซี่ยเหมินมีระบบการให้ปริญญาในหลากหลายสาขา ซึ่งจะช่วยผลิตบุคลากรที่หลากหลายออกสู่สังคม ขณะเดียวกันมหาวิทยาลัยยังมีโครงการที่จัดทำระบบการศึกษาของ AI ซึ่งจะแบ่งวิชาเรียน AI เป็นวิชารวมและวิชาที่มีระดับแตกต่างกันไปตามการเรียนรู้ โดยหลักสูตรที่ใช้เรียนจะเน้นนำเนื้อหา AI เข้ามาเป็นหลักให้มากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังจะมีการยกระดับการสอน AI เพื่อให้เกิดการประเมินผลที่ดี และสามารถให้คำแนะนำแก่ครูผู้สอนได้ ในด้านความร่วมมือที่เกี่ยวข้องกับ AI วิทยาเขตของมหาวิทยาลัยเซี่ยเหมินในประเทศมาเลเซีย ปัจจุบันมีกว่า 40 โครงการที่ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในภูมิภาค รวมถึงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเกิดจากการพัฒนาบุคลากรและผู้เรียนอย่างมีคุณภาพ
การประชุมครั้งนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการร่วมมือกันระหว่างไทยและจีนในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงด้านการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำปัญญาประดิษฐ์มาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างสรรค์การเรียนรู้ที่ไร้ขีดจำกัด และเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศให้ยั่งยืนต่อไปในอนาคต


