ส่ง 'บิ๊กโฟร์' ตรวจสอบรพ.รัฐทั่วประเทศ ตอบ 'บัตรทอง' ทำขาดทุนจริง?
สปสช.เผย 'สมศักดิ์' จ่อส่ง 'บิ๊กโฟร์' ตรวจสอบงบประมาณบัตรทองของโรงพยาบาล 902 แห่งทั่วประเทศ! รับก่อนหน้านี้ไม่เคยตรวจสอบ หลังพบเงินเหลื่อมกัน 3,000 ล้าน
เมื่อกระแส 'กองทุนบัตรทองล่มสลาย' เกิดขึ้นซึ่งสร้างความวิตกให้แก่ประชาชนที่ได้รับสิทธิประโยชน์เป็นอย่างมาก
และตั้งคำถามว่า 'จริงหรือ?'
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จึงได้ให้สัมภาษณ์แบบหมดเปลือกยันตัวเลขกับสื่อจากเครือเนชั่น รวมถึง โพสต์ทูเดย์ ถึงประเด็นดังกล่าว ที่เราจะนำมาเสนอทีละประเด็น ให้ชาวไทยได้ทำความเข้าใจ รับรู้ความเคลื่อนไหว และวิเคราะห์กัน!
ประเด็นแรก ที่ โพสต์ทูเดย์ จะพูดถึงในวันนี้ ซึ่งอาจจะยังไขข้อข้องใจได้ไม่หมดสิ้น แต่คิดว่าน่าสนใจมาก กับ การเดินหน้าของ สปสช.และกระทรวงสาธารณสุขที่นำโดย รมว.สมศักดิ์ เทพสุทิน
กล่าวคือ เมื่อพูดถึง 'การล่มสลายของบัตรทอง'
ก็จะถูกเชื่อมโยงกับ 'การขาดทุนของโรงพยาบาลที่มีระบบบัตรทอง'
เพราะเกิดการตั้งคำถามว่า การขาดทุนของโรงพยาบาลที่มีระบบบัตรทอง หมายถึง สปสช. ไม่สามารถซัพพอร์ตค่าบริการได้ และโยงไปสู่ 'รูปการณ์ถังแตก' หรือไม่?
พร้อมถูกมองว่านโยบาย 'ประชานิยม' ที่ถูกนำมาใช้นั้นไม่สามารถเป็นไปได้จริง! เพราะนี่ไง โรงพยาบาล จะอยู่ไม่ได้แล้ว เพราะรัฐก็ยังไม่จ่ายเงินตามที่ควรจะเป็น!
แต่ สปสช.โดย นายแพทย์ จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสปสช. ได้ให้ความเห็น (นอกจากการชี้แจงงบประมาณส่วนต่างๆ และการคิดคำนวนเงินกองทุน ซึ่งโพสต์ทูเดย์จะรายงานต่อไป ) พร้อมตั้งคำถามต่อการขาดทุนของโรงพยาบาลต่างๆ พร้อมกับกระบวนการที่จะดำเนินการต่อไปโดยเพิ่มตัวละครเข้ามาคือคำว่า 'บิ๊กโฟร์' ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนใน ประวัติศาสตร์ของบัตรทองและโรงพยาบาล!
แจงขาดทุนแค่ 13 แห่ง จาก 902 แห่ง
นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี ได้ชี้แจงถึงการคำนวนงบประมาณ ซึ่งทำให้ตัวเลขคลาดเคลื่อนและเข้าใจไม่ตรงกัน โดยมีข่าวก่อนหน้าที่มีการเปิดเผยจาก ชมรมโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป ชมรมโรงพยาบาลสถาบันกรมการแพทย์ สมาคมคลินิกชุมชนอบอุ่น และเครือข่ายสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (UHosNet) เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2568 ที่ผ่านมาว่ามีโรงพยาบาลรัฐ 218 แห่ง ที่ติดลบอย่างสิ้นเชิง โดยจะไม่มีเงินสดเหลือในระบบ
โดยกล่าวว่า การคำนวนดังกล่าวเป็นการคิดแบบนำ 'เงินสดมาลบด้วยหนี้สิน' ซึ่งในทางบัญชีนั้นจะต้องนำ 'ทุนหมุนเวียนสุทธิที่เรียกว่า net working capital มาใช้แทนการคิดด้วยเงินสดมากกว่า' เพราะโรงพยาบาลยังมีเงินที่ยังเรียกเก็บจาก กองทุนสปสช. ประกันสังคม หรือข้าราชการที่ค้างอยู่ ซึ่งจะเข้ามาเป็นเงินของโรงพยาบาลเช่นกัน เพียงแต่ว่าจะเรียกเก็บได้เร็วหรือช้าเท่านั้น
"อย่างโรงพยาบาลขอนแก่นบอกว่าขาดทุนเยอะสุด 1,124 ล้านบาทเพราะว่ายังมีเงินที่ท่านจะเรียกเก็บจากสปสช. และประกันสังคมได้อยู่ ซึ่งท่านไม่ได้รวมเงินพวกนี้เวลาคำนวน ทั้งๆ ที่สุดท้ายมันจะเข้ามาเป็นเงินของโรงพยาบาลอยู่ดี ซึ่งหากคำนวนจริงๆ จะเหลือแค่ 79 ล้านเท่านั้น
โดยภาพรวมถ้าไปเอาเงินสดมาคำนวน บวกกับท่านไม่ได้นำสินค้าคงคลังมาคำนวนด้วย มันจะทำให้เกิดการเล่นแร่แปรธาตุได้ คือ ก็เอาเงินสดไปซื้อของเก็บไว้ในสต็อค ทำให้เงินสดตัวเองน้อยลงเพื่อหวังว่าจะขาดเงินและมีคนมาเติม ถ้าคิดแบบนี้จะเป็นปัญหาทันที"
ดังนั้น เมื่อสปสช.ได้คำนวนใหม่แล้วจึงพบว่า มีโรงพยาบาลเพียง 13 แห่งเท่านั้นที่ขาดทุนไม่ใช่ 218 แห่ง
ซึ่งนพ.จเด็จ ย้ำว่าลูกหนี้ที่เป็นรัฐยังไงก็ต้องได้ ไม่มีวันโกง อยู่ที่ว่าให้เครดิตเทอมเท่าไหร่
อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามถึงปัญหาหากกระแสเงินสดขาดมือจะเกิดปัญหาสภาพคล่องและกระทบกับการบริหารของโรงพยาบาลหรือไม่นั้น นพ.จเด็จตอบกลับว่า
"เราเคยพยายามจะจ่ายทุกเดือน จ่ายทุก 3 วัน แต่โรงพยาบาลรัฐบอกว่าอย่ามาเร็วเกิน เพราะคนทำบัญชีจะตายเอา"
ทั้งนี้ ยังยืนยันว่าที่ติดลบและน่าเป็นห่วงมีแค่ 13 แห่ง และตัวเลขของการติดลบไม่ได้แรงเหมือนที่เป็นข่าว
"มันไม่ได้แสดงว่าติดลบกัน 218 แห่งแล้วระบบจะล่มเลย โรงพยาบาลที่น่าเป็นห่วงจริงแค่ 13 แห่ง และตัวเลขไม่ได้แรง ซึ่งทางรมว.บอกว่าจะลงไปดูแต่ละที่ ซึ่งต้องบอกว่าจริงๆ แล้ว
สปสช.ไม่มีสิทธิไปยุ่งกับกิจการโรงพยาบาล เรามีหน้าที่แค่ส่งเงินไป เขาจะไปทำอะไรก็ไม่ใช่หน้าที่ของสปสช. อันนี้ก็เรียกว่าทำเกินหน้าที่ไปแล้ว"
เตรียมส่ง 'บิ๊กโฟร์' ตรวจสอบงบ 'โรงพยาบาล' เพื่อหาสาเหตุการขาดทุน หลังพบไม่ตรงกัน 3,000 ล้าน!
เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่งว่า สปสช. รับกับผู้สื่อข่าวว่า การตรวจสอบงบประมาณบัตรทองของโรงพยาบาลนั้น เป็นการชี้แจงอยู่บนพื้นฐานที่ไม่มีการตรวจสอบ แม้ว่าทาง นพ.จเด็จ จะกล่าวว่าจากที่ดูข้อมูลของโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข เกิน 80% ใกล้เคียงความจริงก็ตาม แต่ข้อมูลของโรงพยาบาลรัฐไม่เคยถูกกำหนดว่าต้องถูกตรวจสอบโดยผู้ตรวจสอบบัญชีเช่นเดียวกับบริษัทเอกชน และบางแห่งสปสช.ไม่เคยเห็นรายงานการเงินแต่อย่างใด แม้จะมีข่าวว่าขาดทุนก็ตาม
"เราก็ต้องเชื่อว่าอย่างน้อยเกิน 80% เชื่อได้" นพ.จเด็จกล่าว
นี่จึงเป็นที่มาของการเข้ามาตรวจสอบด้วย 'บิ๊กโฟร์' ซึ่งมีการพูดถึงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
'บิ๊กโฟร์' หรือบริษัทตรวจสอบระดับโลก ที่สปสช. จะนำเข้ามาตรวจสอบเพื่อตอบข้อสงสัยต่างๆและตรวจสอบการบริหารจัดการงบประมาณของกองทุนบัตรทอง 30 บาท หรือ ตรวจสอบ สปสช. เอง โดยบริษัทเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบบัญชี (audit) ให้กับบริษัทมหาชนทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ซึ่งพวกเขารับผิดชอบการตรวจสอบบัญชีของบริษัทมหาชนมากกว่า 80%
อ่านเพิ่มเติม : 'บัตรทอง' ย้ำ ไม่ล่ม เงินบำรุงเหลือ 4.6 หมื่นล้าน ดึง 'บิ๊กโฟร์' ตรวจสอบ
อย่างไรก็ตาม ข่าวในช่วงเวลาดังกล่าวยังไม่ชัดเจนว่าจะมีการตรวจสอบไกลถึงไหน จนกระทั่งในการสัมภาษณ์ครั้งนี้ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เผยว่า
"ท่านรัฐมนตรีก็บอกว่า หากเงินของบัตรทองไปถึงไหนก็ต้องตรวจสอบทั้งหมด เพราะมันก็มีข้อครหาส่วนหนึ่งว่า โรงพยาบาลที่เบิกเข้ามา เบิกถูกต้องหรือไม่ ซึ่งเราก็มีข้อมูลว่ามีการเบิกไม่ถูกต้องราว 8%" เลขาธิการสปสช.กล่าว
สำหรับส่วนต่าง 8% ที่ว่ามานี้ ทางสปสช. ได้ชี้แจงตามตารางด้านล่าง โดยพบว่าในปีงบประมาณ 2567 การรับรู้รายได้จากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หน่วยบริการสังกัด สป.สธ. (รพ.) ทั้งหมด 902 แห่ง
สปสช.จ่ายไป 111,378.1 ล้านบาท แต่โรงพยาบาลรับรู้รายได้ 108,375.7 ล้านบาท ซึ่งมีส่วนต่างจำนวน 3,002.4 ล้านบาท
มากสุดในเขตสุขภาพที่ 10 ประกอบด้วย 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ ยโสธรอำนาจเจริญ และมุกดาหาร ที่มีส่วนต่าง คือหายไปราว 714.2 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวจึงถามเพิ่มเติมว่า การตรวจสอบงบของบัตรทอง ถึงไหนก็ตรวจถึงนั่น หมายความว่า จะตรวจสอบโรงพยาบาลด้วยหรือไม่?
นพ.จเด็จ ยอมรับว่า ตรวจสอบด้วย
" หมายความว่าจะตรวจสอบ 13 โรงพยาบาลที่ขาดทุนใช่หรือไม่" ผู้สื่อข่าวถาม
"ต้องทั้งหมดเลยครับ" เลขาธิการสปสช.ตอบ
และกล่าวอีกว่า แต่เดิมทางโรงพยาบาลไม่เคยเปิดเผยรายละเอียดของบัญชี ซึ่งการที่สปสช.จะลงไปตรวจนั้นคงทำไม่ได้ แต่หากรัฐมนตรีสั่งการในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ก็มีสิทธิที่จะสั่งให้ลงไปตรวจได้
"ต้องเรียนนะครับว่าสปสช.ไม่มีสิทธิจะไปก้าวก่ายทางโรงพยาบาล แต่จะไปช่วยกันทำให้ตัวเลขนั้นถูกต้อง ซึ่งก็ต้องตรวจสอบดูทั้งระบบว่ามันผิดตรงไหน ท่านจะเห็นว่าที่ตัวเลขต่างกัน 3,000 ล้าน ทางสปสช.ส่งไป แต่กลับลงบัญชีห่างกันเท่านั้น มันไม่ควรจะต่างกันแม้แต่บาทเดียว เราจะให้บิ๊กโฟร์ลงไปดูว่าเกิดจากอะไร และเสนอวิธีแก้ไขปัญหามา
สิ่งนี้เป็นการพัฒนา ไม่ใช่การกล่าวหา ทางสปสช.อาจจะผิด หรือทางโรงพยาบาลก็ได้ ก็ไม่ควรปล่อยไว้ ทางรัฐมนตรีจึงบอกว่าให้ตรวจให้หมดเพื่อความชัดเจน จะได้ไม่ต้องมาทะเลาะกัน"
นพ.จเด็จ ยังมองว่าการเข้ามาของ 'บิ๊กโฟร์' จะช่วยพัฒนาระบบการเบิกจ่ายบัตรทองทั้งระบบให้มีประสิทธิภาพและตรวจสอบได้มากขึ้น และคิดอยู่บนพื้นฐานเดียวกัน เนื่องจากตัวเลขที่มาถกเถียงกันอยู่ ณ วันนี้ มีรายละเอียดการคิดคำนวนที่แตกต่างกัน สามารถสะท้อนให้เห็นปัญหาของระบบได้ดียิ่งขึ้น และถือเป็นโอกาสที่ดีที่เกิดเรื่องท้วงติงขึ้นมา
เนื่องจาก สปสช. เคยพยายามเสนอโมเดลให้แก่กระทรวงสาธารณสุขเพื่อนำบริษัทเข้ามาปรับระบบบัญชีเมื่อ 8 ปีก่อนแต่ไม่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามทางสปสช.เคยจ้างผู้ตรวจสอบมาตรวจสอบเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน แต่บริษัทไม่ได้ตรวจไปถึงบัญชีของโรงพยาบาลว่าถูกต้องหรือไม่เพราะไม่ได้อยู่ในข้อตกลงที่เสนอไป
"ข้อมูลเหล่านี้ จะทำให้เราพอรู้ต้นทุนและปริมาณจริงๆ และรู้ว่าผิดพลาดตรงไหน เราก็จะแก้ จะสู้อย่างเต็มที่ในการของบประมาณเพิ่มเติมในปีต่อไป ส่วนโรงพยาบาลที่ติดลบจริง เราก็จะเข้าไปดูแล"
อย่างไรก็ตาม เลขาธิการสปสช. ย้ำว่า แม้ข้อมูลโรงพยาบาลติดลบจะมีอยู่
แต่ไม่ได้หมายความว่า 'ระบบบัตรทองจะล่ม' มันคนละเรื่องกัน.
นี่เป็นหลายประการของการอธิบายเพื่อตอบว่า 'ระบบบัตรทองจะยังไม่ล่ม' ของเลขาธิการสปสช. โดยชี้ประเด็นไปที่จำนวนตัวเลขการติดลบของโรงพยาบาลที่สปสช. บอกว่า 'ไม่มากดังข่าว' รวมไปถึงจะส่งคนตรวจสอบงบที่เหลื่อมกันในฝั่งโรงพยาบาลด้วย
ทั้งนี้ ยังมีข้อมูลที่ทาง เลขาธิการสปสช. ให้สัมภาษณ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การแจกแจงงบประมาณทั้งหมดของบัตรทอง ว่าจ่ายยังไง จ่ายอะไรบ้าง? พร้อมตอบคำถามว่าประชากรลดลงแต่ใช้จ่ายเพื่อสูงวัยเพิ่มขึ้นนั้นจริงหรือไม่? และงบประมาณ 30 บาทรักษาทุกที่ ซึ่งเป็นการดำเนินงานตามนโยบายฝั่งการเมือง รวมถึงหน่วยนวัตกรรมที่เพิ่มขึ้นนั้น คือเหตุผลที่ทำให้ 'ระบบบัตรทองจะเจ๊ง' หรือไม่? รวมไปถึงแนวคิด 'หลักประกันสุขภาพ' ของไทยจะไปต่อยังไงให้มั่นคง ติดตามกัน.


