'บัตรทอง' ย้ำ ไม่ล่ม เงินบำรุงเหลือ 4.6 หมื่นล้าน ดึง 'บิ๊กโฟร์' ตรวจสอบ
สปสช.ย้ำ 'บัตรทอง' ไม่ล่ม! เงินบำรุงยังคงเหลือ 4.6 หมื่นล้านบาท พร้อมตั้งคณะกรรมการศึกษาต้นทุน-รายจ่ายให้รพ.ทุกกองทุนสุขภาพ
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และในฐานะประธานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) แถลงข่าวภายหลังประชุม บอร์ด สปสช. ครั้งที่ 6/2568 เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 2568 เพื่อร่วมกันชี้แจงต่อสาธารณะเกี่ยวกับประเด็นเงินบำรุงโรงพยาบาล และการบริหารจัดการเงินงบประมาณในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) รวมถึงผลจากการประชุม บอร์ด สปสช. ครั้งล่าสุด กล่าว่า
ประเด็นเงินบำรุงโรงพยาบาลติดลบ และมีการระบุอ้างถึงสาเหตุมาจากสิทธิประโยชน์ในระบบบัตรทอง 30 บาท ที่บริหารจัดการโดย สปสช. และการจ่ายชดเชยค่าบริการที่ไม่สะท้อนต้นทุนค่าบริการนั้น
จากข้อมูลการเข้ารับบริการผู้ป่วยนอกผู้ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) ในโรงพยาบาลสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สป.สธ.) พบว่ามีประมาณ 304 ล้านครั้ง ขณะที่ สปสช. ได้จ่ายชดเชยค่าบริการไปจำนวน 220 ล้านครั้ง ซึ่งหมายความว่า เงินบำรุงที่เป็นรายได้ของโรงพยาบาล ก็จะมาจากเงินงบประมาณในกองทุนบัตรทอง ประกันสังคม และสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ รวมถึงเงินรายได้จากประชาชนที่มาใช้บริการ
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบข้อมูลเงินบำรุงโรงพยาบาลสังกัด สป.สธ. พบว่ามีโรงพยาบาลที่ขาดทุน และเงินบำรุงติดลบจริงๆ เพียง 13 แห่ง ซึ่งมั่นใจว่า สาเหตุขาดทุน ไม่ใช่จากระบบบัตรทอง 30 บาท แต่อาจมาจากเรื่องอื่น ซี่งกำลังตรวจสอบอยู่ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าตัวเลขการขาดทุนไม่ได้น่าตกใจ หรือเป็นที่กังวล
“โรงพยาบาลทั้ง 13 แห่ง ต้องดูว่ามีสาเหตุอะไรถึงขาดทุน และเราจะมีคณะทำงานลงไปพื้นที่ เพื่อเอาข้อมูลนี้ไปเป็นโจทย์ และเป็นขอบเขตการทำงาน ในการให้บริษัทเอกชนระดับโลก ที่จะเข้ามาตรวจสอบการบริหารจัดการงบประมาณบัตรทอง 30 บาทได้ตรวจสอบเพื่อให้ครอบคลุม เพื่อชี้ให้เห็นด้วยว่า มีบริการใดที่เป็นประโยชน์อยู่บ้าง และสิทธิประโยชน์ใดที่ควรถูกลด ซึ่งนโยบายลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ด้วยการนับคาร์บ ก็ต้องถูกตรวจสอบด้วยเช่นกันว่าได้เกิดประโยชน์และเหมาะสมกับการใช้งบประมาณหรือไม่ รวมถึงมีผลอย่างไรต่อระบบสุขภาพของประเทศโดยรวม” รมว.สาธารณสุข และประธาน บอร์ด สปสช. กล่าว
ด้าน นพ.มณเฑียร คณาสวัสดิ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า สถานะเงินบำรุงโรงพยาบาลสังกัด สป.สธ. พบว่ามีอยู่ประมาณ 4.6 หมื่นล้านบาท เป็นเงินสุทธิหลังหักหนี้สิน หากเทียบในช่วงก่อนสถานการณ์โควิด – 19 ที่โรงพยาบาลมีเงินบำรุงรวมกันประมาณ 6,000 ล้านบาท และปัจจุบันสถานะเงินบำรุงของโรงพยาบาลก็เยอะกว่าอย่างมาก
อย่างไรก็ตามหากเทียบกับสถานการณ์เงินบำรุงในช่วงปี 2565 – 2566 กับปัจจุบัน ก็จะพบว่าขณะนี้มีแนวโน้มที่เงินบำรุงโรงพยาบาลจะลดลง แต่ทั้งนี้ ในส่วนโรงพยาบาลที่มีปัญหาขาดทุน ก็จะมีทีมงานลงไปตรวจสอบเพื่อหาทางแก้ปัญหาต่อไป
“สธ. สามารถบริหารจัดการได้กับเงินบำรุงที่มีอยู่ในขณะนี้ และคงไม่มีปัญหาอะไร และไม่มีผลกระทบต่อการดูแลรักษาประชาชน แต่ในส่วนโรงพยาบาลที่ขาดทุน 13 แห่ง คาดว่ามีหลายสาเหตุที่ปะปนกัน ต้องตรวจสอบและเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหา” รองปลัด สธ. กล่าว
พร้อมบริษัทระดับโลกตรวจสอบ! และศึกษาต้นทุนรพ.ใหม่ทุกกองทุนสุขภาพ
นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ในส่วนการจ้างหน่วยงานภายนอกที่เป็นบริษัทเอกชนระดับโลก หรือกลุ่มบิ๊กโฟร์ เพื่อเข้ามาตรวจสอบการบริหารจัดการงบประมาณบัตรทอง 30 บาท จะเป็น สปสช. ที่รับผิดชอบดำเนินการ ตามที่ บอร์ด สปสช. ได้มีมติวันนี้ และมอบหมาย อย่างไรก็ตาม ข้อสั่งการในการตรวจสอบของ รมว.สาธารณสุข ก็ต้องการให้มีการตรวจสอบในเรื่องการจัดสรรงบประมาณ รวมถึงการรับงบประมาณของหน่วยบริการ และแนวทางการจัดสรรงบประมาณ
นอกจากนี้ บอร์ด สปสช. ยังมอบหมายให้ สปสช. ตั้งคณะทำงานพื้นที่ตรวจสอบปัญหาข้อร้องเรียนต่างๆ เช่น การกรอกข้อมูลการเบิกจ่ายที่ไม่ถูกต้อง หรือการใช้บัตรประชาชนมารับบริการอย่างไม่ถูกต้อง ซึ่งทุกปัญหาจะถูกนำมากำหนดขอบเขตการตรวจสอบให้กับบริษัทเอกชนได้ตรวจสอบ และบอร์ด สปสช. ต้องการให้รายงานผลการตรวจสอบภายใน 3 เดือน
นพ.จเด็จ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ บอร์ด สปสช. ยังเห็นชอบในหลักการ และมอบหมายให้ สปสช. ร่วมตั้ง "คณะกรรมการศึกษาต้นทุนและอัตราจ่ายที่เหมาะสมให้โรงพยาบาล” โดยให้บูรณาการร่วมกันกับสำนักงานประกันสังคม และกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ภายใต้คณะกรรมการพิจารณาค่ารักษาพยาบาลของสวัสดิการรักษาพยาบาลของประเทศไทย (บอร์ดพิจารณาค่ารักษาพยาบาล) ที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.การคลัง เป็นประธาน เพื่อดูต้นทุนค่าบริการในภาพใหญ่ของประเทศ ซึ่งจะไม่ใช่ดูแค่งบประมาณบัตรทอง ที่จัดสรรให้กับโรงพยาบาล แต่จะดูทุกกองทุนสุขภาพ เพื่อให้ทุกหน่วยงานที่ดูแลสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลภาครัฐ ใช้เป็นแนวทางในการชดเชยค่าบริการสาธารณสุข และลดปัญหาโรงพยาบาลขาดทุน
สำหรับ 4 บริษัท ที่เรียกว่ากลุ่มบิ๊กโฟร์นั้นประกอบด้วย
- บริษัท PricewaterhouseCoopers (PwC)จากประเทศอังกฤษ
- บริษัท EY (เดิมคือ Ernst & Young) จากประเทศอังกฤษ
- บริษัท Deloitte Touche Tohmatsu (Deloitte) จากสหรัฐอเมริกา
- บริษัท KPMG จากประเทศสวิสเซอร์แลนด์
โดยบริษัทเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบบัญชี (audit) ให้กับบริษัทมหาชนทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ซึ่งพวกเขารับผิดชอบการตรวจสอบบัญชีของบริษัทมหาชนมากกว่า 80%
ย้ำกองทุนบัตรทอง 'มั่งคั่ง'
ขณะที่ นพ.วิชัย โชควิวัฒน กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ต้องขอบคุณ สป.สธ. ที่จัดทำตัวเลขเงินบำรุงโรงพยาบาลในสังกัด และเสนอต่อที่ประชุมบอร์ด สปสช. ที่ทำให้เห็นรายได้ รายจ่าย หนี้สินของโรงพยาบาลที่ปรากฏ และพบว่ามีโรงพยาบาลขาดทุนเพียง 13 แห่ง ซึ่งผ่านการตรวจสอบที่ครบถ้วนแล้ว รวมถึงรวมรายได้ที่เรียกเก็บชดเชยจากทั้ง 3 กองทุนสุขภาพแล้ว และเงินบำรุงสุทธิในภาพรวมก็ยังเหลือกว่า 4.6 หมื่นล้านบาท
“ซึ่งหากเทียบกับช่วงแรกของการก่อตั้งระบบบัตรทอง 30 บาท เงินบำรุงโรงพยาบาลมีอยู่หลักพันล้านบาท และในช่วงโควิด-19 ขยับขึ้นสูงไปถึง 9 หมื่นล้านบาทและนำไปพัฒนายกระดับโรงพยาบาล ซึ่งเงินบำรุงก็ยังเหลืออยู่ประมาณ 4.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งสถานะอาจเรียกว่ามั่นคงอย่างเดียวไม่ได้ คงต้องเรียกว่ามั่งคั่งด้วย ซึ่งนับตั้งแต่ นายสมศักดิ์ มาเป็น รมว.สาธารณสุข ก็สร้างความมั่นคง และมั่งคั่งให้กับ สป.สธ.ได้อย่างดีมาก” นพ.วิชัย กล่าว
นพ.วิชัย กล่าวอีกว่า ระบบบัตรทอง 30 บาท จะจ่ายชดเชยในอัตราค่าบริการที่ต่ำสุดหากเทียบกับอีกสองระบบ คือ ระบบประกันสังคม และสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ แต่ระบบบัตรทองต้องดูแลประชากรจำนวนมากกว่า ก็จะมีอัตราการเข้ารับบริการจำนวนมาก ซึ่งต้องยอมรับว่า อัตตราการจ่ายชดเชยค่าบริการนั้น โรงพยาบาลเองก็ต้องการให้จ่ายชดเชยในอัตราเดียวกันกับสิทธิประกันสังคม และสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ