posttoday

รู้จักโควิดสายพันธุ์ JN.1* ท่ามกลางผู้ป่วยใหม่ทะลุ 5 หมื่นราย

27 พฤษภาคม 2568

รู้จักโควิดสายพันธุ์ JN.1* และ XEC ท่ามกลางการระบาดในเดือนพฤษภาคมที่พุ่งทะลุ 5 หมื่นราย ชี้วัคซีนโควิดยังเอาไหว

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ข้อมูลกับ โพสต์ทูเดย์ เกี่ยวกับสายพันธุ์โควิดที่มีการระบาดในช่วงเวลานี้ โดยระบุว่า สถานการณ์โควิดสายพันธุ์โอมิครอนในประเทศไทยตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 - วันที่ 6 พฤษภาคม 2568 พบ JN.1* ยังเป็นสายพันธุ์หลัก คิดเป็นสัดส่วนสะสมร้อยละ 63.92 ของสายพันธุ์ทั้งหมดที่พบในประเทศไทย ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ภาพรวมทั่วโลกที่ยังคงมี JN.1* เป็นสายพันธุ์หลัก  สำหรับสายพันธุ์  XEC พบแนวโน้มลดลง คิดเป็นสัดส่วนสะสมร้อยละ 3.07 ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ทั่วโลก ส่วน LP.8.1* (สายพันธุ์ย่อย KP.1.1.3) เริ่มพบในประเทศไทยช่วงเดือนมกราคม 2568 ขณะนี้มีอัตราลดลงเช่นกัน โดยสัดส่วนสะสมที่พบยังน้อยกว่าร้อยละ 10

 

สำหรับรายละเอียดสายพันธุ์ของโควิด และช่วงเวลาที่เกิดการระบาด มีรายละเอียดดังนี้

 

JN.1* และ XEC* จัดอยู่ในกลุ่ม สายพันธุ์ FLiRT ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่มีตำแหน่งกลายพันธุ์บนส่วนโปรตีนหนามของไวรัส เช่น R346T, F456L, R346T+F456L (FLiRT) รวมถึง F456L+Q493E ซึ่งช่วยให้ไวรัสมีความสามารถในการก่อโรคและการหลบภูมิคุ้มกัน

 

สายพันธุ์ JN.1*  เป็นสายพันธุ์ลูกของ Omicron (BA.2.86 หรือ Pirola) มีการกลายพันธุ์ที่สำคัญ (เช่น L455S) บนโปรตีนหนาม (Spike protein) ทำให้แพร่ได้ง่ายขึ้นและหลบภูมิคุ้มกันได้ดี  องค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้เป็นสายพันธุ์ที่เฝ้าระวัง (Variant of Interest: VOIs) ตั้งแต่ 2 ธันวาคม 2567 ถึงปัจจุบัน เนื่องจากการแพร่ระบาดที่รวดเร็ว

 

ส่วน สายพันธุ์ XEC* เป็นสายพันธุ์ลูกผสมของ KS.1.1 และ KP.3.1 มีการกลายพันธุ์บนโปรตีนหนาม T22N, F59S, Q493E และ V1104L พบครั้งแรกในโลกเมื่อเดือนสิงหาคม 2567 ในประเทศเยอรมนี  องค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้เป็นสายพันธุ์ที่ต้องจับตามอง (Variants under monitoring: VUMs) เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567

 

สถานการณ์ทั่วโลก

ณ ปัจจุบัน สายพันธุ์ JN.1* มีอัตราการได้เปรียบในการเติบโต (Relative growth advantage) อยู่ที่ร้อยละ 2 โดยสัดส่วนการแพร่กระจายนี้ไม่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะนี้ทั่วโลก พบจำนวน 573,833 ราย ในส่วนของ สายพันธุ์ XEC* ขณะนี้ทั่วโลก พบจำนวน 52,624 ราย (สืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูล CoV-spectrum และฐานข้อมูล GISAID ณ วันที่ 26 พฤษถาคม 2568)

 

รูปแสดงอัตราการได้เปรียบในการเติบโต (Relative growth advantage) ของสายพันธุ์ JN.1*

 

สถานการณ์การเฝ้าระวังสายพันธุ์ในประเทศไทย

(ตั้งแต่ช่วง 1 มกราคม 2567 ถึง ปัจจุบัน สืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูล GISAID ณ วันที่ 26 พฤษถาคม 2568)

 

ตั้งแต่ช่วง 1 มกราคม 2567 ถึง 30 เมษายน 2568 พบว่า JN.1* ยังพบเป็นสายพันธุ์หลัก คิดเป็นสัดส่วนสะสมร้อยละ 63.92 ของสายพันธุ์ทั้งหมดที่พบในประเทศไทย ส่วน XEC* พบครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อเดือนสิงหาคม 2567 และมีการระบาดในช่วงเดือนตุลาคมเป็นต้นมา พบอัตราสัดส่วนสะสมร้อยละ 3.07 และ LP.8.1* (สายพันธุ์ย่อย KP.1.1.3) เริ่มพบในประเทศไทยช่วงเดือนมกราคม 2568 มีอัตราการลดลง โดยสัดส่วนที่พบยังน้อยกว่าร้อยละ 10

 

อย่างไรก็ตาม ในปีพ.ศ. 2568 มีการเผยแพร่ตัวอย่างในฐานข้อมูล GISAID ณ วันที่ 26 พฤษถาคม 2568 จำนวนทั้งหมด 66 ราย (อ้างอิงวันที่เก็บตัวอย่าง) พบว่าจากตัวอย่างที่เก็บมาได้  XEC * เป็นสายพันธุ์ที่มีการระบาดมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 45.45 (30 ราย) และสายพันธุ์รองลงมาคือ JN.1* คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 33.33 (22 ราย)

 

กราฟพื้นที่แสดงสายพันธุ์เชื้อก่อโรคโควิด 19 ที่พบในไทยตั้งแต่ 1 มกราคม 2568 - ปัจจุบัน

 

ทั้งนี้ กรมควบคุมโรค ซึ่งเป็นหน่วยงานทำหน้าที่ในการติดตามโรคและยอดผู้ป่วยของไทยได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลล่าสุด พบผู้ป่วยติดเชื้อโควิดในไทย สัปดาห์ที่ 21 ปี 2568 ระหว่างวันที่ 18-24 พฤษภาคม 2568 (ข้อมูล ณ. วันที่ 26 พฤษภาคม 2568) มีจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ 53,597 ราย ผู้ป่วยสะสมตั้งแต่ต้นปี 2568 อยู่ที่ 187,031 ราย  รักษาในโรงพยาบาล 2,831 ราย ผู้ป่วยนอก 50,766 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 5 ราย ยอดสะสมผู้เสียชีวิต ปี 2568 อยู่ที่ 46 ราย

 

 

อาการและความรุนแรงของโรค

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้เปิดเผยลักษณะอาการทั้งสองสายพันธุ์ (JN.1* และ  XEC* ) โดยจะมีอาการคล้ายคลึงกัน และมีอาการคล้ายไข้หวัดทั่วไป คือ ไอแห้ง, ไข้, เจ็บคอ, เหนื่อยล้า, ปวดหัว, คัดจมูก, ท้องเสีย  โดยทั่วไปอาการไม่รุนแรง โดยเฉพาะในผู้ที่ได้รับวัคซีนครบ สำหรับกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัว ยังควรระวัง

ทั้งนี้ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำด้านสาธารณสุข ไม่ว่าจะเป็นการรักษาความสะอาด ล้างมือบ่อย ๆ และสวมหน้ากากในที่แออัด ฉีดวัคซีนและบูสเตอร์ตามคำแนะนำ และเฝ้าระวังอาการ หากมีความเสี่ยงควรตรวจหาเชื้อและพบแพทย์.

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์-FWD คว้า 3 รางวัล Adman Awards 2025 ตอกย้ำเข้าถึงลูกค้าทุก Gen ด้วย "ประกันทรัพย์พอร์ตทุกวัย"