รู้จักที่มา ‘หูโข่ว’ กฎที่บังคับชาวจีนให้จดทะเบียนสมรสได้ที่ ‘บ้านเกิด’ เท่านั้น!
จีนปรับนโยบายการจดทะเบียนที่ใหญ่ที่สุดในรอบ 20 ปี จากเดิมที่มีกฎให้จดทะเบียนสมรสได้ที่บ้านเกิดซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากระบบที่ชื่อ ‘หูโข่ว’
ต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้ประกาศยกเลิกกฎการจดทะเบียนสมรส จากเดิมที่ใครอยากแต่งงานก็ต้องกลับไปจดทะเบียนกันตามทะเบียนบ้านที่ตัวเองอยู่ เป็นสามารถจดทะเบียนสมรสข้ามเขตที่ไหนก็ทำได้!
อีกทั้งระเบียบใหม่ที่ว่านี้ยังยกเลิกความจำเป็นในการใช้สมุดทะเบียนบ้าน ซึ่งเคยเป็นเอกสารหลักสำหรับการยื่นขอจดทะเบียนสมรส จะใช้เพียงแค่แสดงบัตรประชาชน และลงนามในคำประกาศว่ายังโสด และไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดใกล้ชิดภายใน 3 รุ่น ก็สามารถจดทะเบียนสมรสได้ทันที
การเปลี่ยนแปลงนี้ยังครอบคลุมถึงคู่รักที่ชาวต่างชาติกับชาวจีน เพราะสามารถจดทะเบียนสมรส หย่า หรือขอหนังสือรับรองการสมรสใหม่ได้ที่สำนักงานใดก็ได้ที่ได้รับอนุญาตอีกด้วย
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถือว่าเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนชาวจีนได้อย่างมหาศาล สำนักข่าวซินหัวได้รายงานข้อมูลการสำรวจสำมะโนประชากรแห่งชาติปี 2021 พบว่า มีประชาชนเกือบ 500 ล้านคนในจีนที่อยู่นอกพื้นที่ตามทะเบียนบ้าน โดยกว่า 70% ของประชากรกลุ่มนี้มีอายุระหว่าง 15 ถึง 35 ปี สืบเนื่องมาจากความจำเป็นด้านการศึกษาและการทำงาน
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นการปรับปรุงนโยบายการให้บริการสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในรอบ 20 ปีของจีน จากเดิมที่การจดทะเบียนสมรสอยู่ภายใต้ของระบบที่เรียกว่า ‘หูโข่ว’ มาเป็นระยะเวลากว่าศตวรรษ ซึ่งรัฐบาลจีนได้ทดลองใช้นโยบายนี้ในบางพื้นที่ตั้งแต่ปี 2021 โดยอ้างว่าเป็นความพยายามที่จะชะลอการลดลงของการแต่งงานและมีบุตรของคนรุ่นใหม่ อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวซินหัวรายงานข้อมูลการจดทะเบียนไตรมาสแรกของปี 2025 ของจีนยังอยู่ที่ 1.81 ล้านคู่ ซึ่งลดลงกว่า 8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน หลังจากที่จำนวนเคยขยับกระเตื้องขึ้นในปี 2023
เจาะประเด็น ‘หูโข่ว’ สถานะที่การสมรสก็ไม่สามารถเปลี่ยนได้
หลายคนมักจะคิดว่าการแต่งงาน คือ การเปลี่ยนสถานะและเปลี่ยนชีวิตหลายอย่าง แต่คงไม่ใช่กับคำว่า ‘หูโข่ว’ หรือทะเบียนบ้านของชาวจีน ที่มีอิทธิพลมากกว่าทะเบียนบ้านที่คนไทยคุ้นเคยอย่างมหาศาล รวมไปถึงอิทธิพลต่อการสมรสและการสร้างครอบครัว
ระบบ ‘หูโข่ว’ หรือทะเบียนบ้านของจีน เป็นระบบที่ใช้ควบคุมการย้ายถิ่นฐานและสถานะทางกฎหมายของพลเมืองจีนมาอย่างยาวนาน ตามประวัติศาสตร์สามารถสืบย้อนกลับไปถึงยุคก่อนราชวงศ์ในศตวรรษที่ 21 โดยช่วงแรก หูโข่ว จะใช้เพื่อวัตถุประสงค์หลักๆ 3 ประการคือ เก็บภาษี เกณฑ์ทหาร และควบคุมการย้ายถิ่นฐาน
ต่อมา ‘หูโข่ว’ ถูกใช้หลายวัตถุประสงค์ในห้วงเวลาต่างๆ ในสมัยราชวงศ์ชิงมีการพัฒนาจนเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นครั้งแรก ด้วยการตราเป็นกฎหมายทะเบียนครัวเรือนปี 1911 ซึ่งระบบุว่าการเดินทางของประชาชนนั้นสามารถทำได้อย่างอิสระ แต่ก็ต้องลงทะเบียนกับรัฐบาลก่อน อีกทั้งรัฐบาลยังใช้ระบบนี้ในการตามล่ากลุ่มคอมมิวนิสต์และเก็บภาษีเพื่อเป็นทุนทำสงคราม
ถัดมาในยุคเหมาเจ๋อตุง ในช่วงปี 1949 การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญก็เกิดขึ้นภายใต้นโยบายเปลี่ยนประเทศให้เป็นประเทศอุตสาหกรรม จึงทำให้ประชาชนในชนบทที่เป็นเกษตรกว่า 89% ของประเทศ สนใจที่จะอพยพเข้าสู่เมืองเพื่อหางาน โดยพบว่าเพียงแค่ 8 ปีต่อมา แรงงานในเมืองจากเดิมที่มีแค่ 58 ล้านคนก็เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว!
จนกระทั่งในปี 1954 จากการหลั่งไหลของประชาชนจำนวนมาก ส่งผลให้มีความพยายามที่จะให้ประชาชนลงทะเบียนพลเมือง และมีข้อกำหนดเข้มงวดในการเปลี่ยนสถานะหูโข่ว ( ย้ายทะเบียนบ้าน) เช่น ต้องมีงานในเมือง เรียนในมหาวิทยาลัย หรือมีญาติใกล้ชิดในเมืองเท่านั้น
ต่อมาแค่เพียง 4 ปี จีนก็ประกาศใช้ 'กฎหมายการลงทะเบียนหูโข่ว' ขึ้นมาอย่างเป็นทางการ โดยแบ่งพลเมืองเป็น 2 กลุ่มคือ
- หนงหมิง หรือ หูโข่วเกษตรกรรม (หูโข่วชนบท) ซึ่งเป็นพลเมืองชนบท
- ชื่อหมิง หรือ หูโข่งที่ไม่ใช่เกษตรกรรม (หูโข่วเมือง) ซึ่งเป็นพลเมืองของเมือง
โดยพลเมืองของเมืองได้รับสิทธิประโยชน์จากรัฐอย่างมหาศาล เช่น สวัสดิการด้านสุขภาพ การศึกษา ในขณะที่ชาวชนบทจะไม่ได้รับสิทธิเหล่านี้ ซึ่งใครที่อยากจะเปลี่ยนจากหูโข่วชนบทมาเป็นคนเมือง ก็จะถูกจำกัดสิทธิอย่างหนัก ปีหนึ่งจะมีโควต้าเพียงแค่ 0.15-0.2% เท่านั้นโดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้
จนกระทั่งปี 1978 การเคลื่อนย้ายอพยพถิ่นฐานทั้งหมดของประชาชนแทบทั้งหมดต้องได้รับอนุญาตจากรัฐ
แม้จะมีการผ่อนคลายข้อจำกัดบางอย่าง แต่ก็ยังมีปัญหาเรื่องสิทธิสวัสดิการ หรือเสี่ยงต่อการถูกส่งกลับชนบทอยู่มาก
ชาวจีนต้องรอมาอีกกว่า 36 ปี จนกระทั่งในปี 2014 รัฐบาลกลางประกาศ 'ปฏิรูประบบหูโข่ว' ภายใต้แผนการพัฒนาเมืองรูปแบบใหม่แห่งชาติ 2014–2020 (National New-Type Urbanization Plan) ซึ่งตั้งเป้าที่จะเพิ่มหูโข่วเมืองอีก 100 ล้านคน นั่นหมายความว่าจะลดช่องว่างเรื่องสวัสดิการ ของคนที่อยู่ในเมืองแต่ไม่มีหูโขว่เมือง กับคนที่อยู่ในเมืองแต่มีหูโข่วเมือง ให้ได้ภายในปี 2020
อย่างไรก็ตาม มีคนจำนวนหนึ่งที่ถือหูโข่วชนบทแต่ไม่อยากเปลี่ยนมาเป็นหูโข่วเมืองแม้ว่าจะได้สิทธิประโยชน์มากกว่า
เพราะหากถือหูโข่วแบบชนบท พวกเขาจะมี สิทธิในที่ดิน ซึ่งผู้ถือหูโข่วแบบเมืองไม่มีสิทธิ เช่น ใช้ที่ดินเพื่อเพาะปลูกหรือใช้ส่วนตัวได้ และเมื่อเมืองขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ราคาที่ดินใกล้เมืองก็สูงขึ้น เจ้าของที่ดินสามารถเลือกเลิกทำเกษตรแล้วปล่อยบ้านเช่าให้แรงงานอพยพ หรือรอขายที่ดินให้รัฐบาลในราคาดีในอนาคต ประโยชน์เหล่านี้ รวมกับการที่สวัสดิการในชนบทมีการปรับปรุงดีขึ้นเมื่อเทียบกับเมือง ทำให้ชาวชนบทหลายคนลังเลที่จะสละสถานะหูโข่วแบบชนบทของตัวเอง
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลสิทธิประโยชน์ของผู้ถือหูโข่วทั้งสองแบบ ก็พบความน่าสนใจและข้อแตกต่าง ยกตัวอย่างเช่น
สิทธิในที่ดินและทรัพย์สิน
- หูโขว่ชนบท มีสิทธิใช้ที่ดินเกษตรกรรม ปล่อยเช้าได้ และสามารถสร้างบ้านบนที่ดินได้
- หูโขว่เมือง ไม่มีสิทธิในที่ดินชนบท และต้องซื้อบ้านในเขตเมืองซึ่งมีราคาแพง
ระบบประกันสุขภาพ
- หูโขว่ชนบท จะมีการคุ้มครองน้อยกว่า เบิกได้น้อยและสามารถใช้สิทธิในโรงพยาบาลที่อยู่ในพื้นที่จำกัด ซึ่งมักจะเป็นโรงพยาบาลชั้นรองหรือคลินิกเอกชน
- หูโขว่เมือง คุ้มครองมากกว่า ครอบคลุมโรงพยาบาลในเมืองด้วย และสามารถเข้าถึงโรงพยาบาลใหญ่ในเมืองได้ง่าย
สิทธิด้านการศึกษา
- หูโขว่ชนบท ลูกที่ตามพ่อแม่มาเมืองมักเรียนไม่ได้ในเมือง หรือเข้าโรงเรียนเอกชนที่มีคุณภาพต่ำ หรือหากเรียนในโรงเรียนชนบทก็จะมีคุณภาพและ ทรัพยากรของโรงเรียนที่จำกัด
- หูโขว่เมือง มีสิทธิเรียนในระบบของรัฐในเมือง และสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยในเมืองนั้นได้ง่ายกว่า
ชีวิตสมรสภายใต้อิทธิพล หูโข่ว
การจดทะเบียนสมรส ก็ได้รับอิทธิพลมาจากระบบหูโขว่เช่นกัน ในอดีตโดยเฉพาะหากทั้งสองฝ่ายมีหูโข่วที่ต่างกัน ก็ต้องไปขอหนังสือรับรองการสมรสจากสำนักงานหูโข่วแต่ละฝ่าย จากนั้นก็ต้องไปยื่นคำร้องต่อรัฐบาลท้องถิ่นในพื้นที่ๆ จะเข้าไปอยู่ เช่น ฝ่ายหญิงอยากแต่งงานเข้าไปอยู่กับฝ่ายชายในเมืองก็ต้องยื่นคำร้องขอให้พิจารณา
หากรัฐไม่อนุญาตให้ย้ายหูโข่ว คู่สมรสยังจดทะเบียนแต่งงานได้ แต่ฝ่ายที่ไม่ได้อยู่ตามหูดโข่วของตนก็จะถูกจำกัดสิทธิและสวัสดิการ เช่น คนที่ถือหูโข่วชนบทก็ไม่สามารถเข้าถึงสิทธิของเมืองแม้ว่าจะแต่งงานกันแล้วก็ตาม
โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่าง 'ปักกิ่ง' ที่ถูกจัดเป็นเมืองระดับพิเศษ อันมีข้อบังคับเด็ดขาดว่าการสมรสไม่ถือกับเป็นการย้ายหูโข่วแต่อย่างใด หากจะย้ายเพื่อได้รับสิทธิ คู่สมรสต้อง อาศัยอยู่ร่วมกันในปักกิ่งอย่างถูกกฎหมายหลายปี และต้องมีหลักฐานการทำงาน เสียภาษี ประกันสังคม อย่างต่อเนื่อง และต้องสะสม 'คะแนนถิ่นพำนัก' ให้ถึงเกณฑ์ที่รัฐกำหนด
นอกจากนี้ ลูกที่เกิดจากการแต่งงานหากไม่ได้เกิดจากพ่อแม่ที่ไม่มีหูโข่วเมืองปักกิ่งทั้งคู่ จะถูกจัดให้เป็น ‘เด็กต่างด้าวในเมือง’ ซึ่งเข้าถึงโรงเรียนรัฐได้ยากลำบาก บางคนจึงต้องส่งลูกไปเรียนต่างมณฑลหรือเข้าเรียนโรงเรียนเอกชนแทน
.
.
แม้ว่าจะมีการปฏิรูประบบหูโข่วในจีนตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หรือแม้แต่การอนุญาตให้จดทะเบียนสมรสง่ายขึ้น แต่ระบบนี้ก็ยังกระทบถึงชีวิตการสมรสของแต่ละครอบครัวที่ยังมีข้อจำกัดและมีความเหลื่อมล้ำที่ตามมาปรากฎอยู่นั่นเอง.


