posttoday

ย้อนประวัติศาสตร์จากศาสนาแห่งการ ‘สละ’ สู่อาณาจักรแสนล้าน

18 พฤษภาคม 2568

โพสต์ทูเดย์พาย้อนประวัติศาสตร์ หาต้นตอของความเชื่อที่ว่า ‘การบริจาคมากถือว่าได้บุญมาก' จนนำไปสู่การสร้างอาณาจักรแสนล้านของวงการพระสงฆ์

‘วงการสงฆ์ไทย’ โดนแฉแทบทุกปี! ไม่เคยเว้น โซเชียลมีเดียก็ลงเหน็บแนมกันเป็นนัยๆ ว่าอยากรวยก็ต้องประกอบอาชีพ ‘พระ’ เพราะคาดว่ามีเงินหมุนเวียนในระบบระดับแสนล้านหรืออาจจะถึงล้านล้านแทบทุกปี มากกว่างบประมาณบางกระทรวงด้วยซ้ำไป!

ไม่ต้องพูดถึงการจัดการภายในของสำนักงานพระพุทธศาสนา ที่ไม่สามารถสร้างความโปร่งใสให้เกิดขึ้นได้ จนเกิดคำว่า ‘พุทธพาณิชย์’ เห็นวัดเร่ขายของศักดิ์สิทธิ์ ของบูชากันเนืองๆ จนต้องตั้งคำถามว่านี่คือ ‘หลักธรรม’ ของพุทธศาสนาที่แท้จริงอย่างนั้นหรือ? แล้วทำไมถึงไม่จัดการ

และไม่ต้องพูดถึงพระชั้นผู้ใหญ่บางองค์ ที่สะสมอำนาจ ใช้สเตตัสอยู่ในผ้าเหลืองเป็นแหล่งฟอกเงิน แหล่งจับคนระดับบนๆ มาแมทชิ่งกันให้เกิดผลประโยชน์ จนเกิดเป็นลูกศิษย์ลูกหา ยิ่งกว่ามาเฟีย!

 

เรื่องนั้น เป็นเรื่องของระบบ ที่กว่าจะจัดการได้น่าจะนาน!  แต่สำหรับระดับพุทธศาสนิกชน หากใครไม่บังคับให้เราบริจาคหรือจ่ายเงิน ก็ไม่มีใครดึงเงินออกจากกระเป๋าได้หรือไม่? เงินของทุกคน เจตนาของทุกคนที่บริจาคคือหนึ่งในต้นตอของปัญหานี้ด้วยหรือไม่

 

โพสต์ทูเดย์ จะพาย้อนรอยประวัติศาสตร์ ว่าความเชื่อที่ฝังรากลึกๆ ของคนไทยเรื่อง ‘การทำบุญ’ บริจาค หวังลาภยศ เงินทองนั้น มันมาได้อย่างไรกันแน่

 

เรื่องราวขององคุลีมาล

 

ไทม์ไลน์ความเชื่อ ‘เปลี่ยนทานเป็นบุญ’

 

สมัยพุทธกาล

พระพุทธเจ้าสอนเรื่องของการให้ ‘ทาน’ เพื่อฝึกฝนให้มนุษย์ละความโลภ และลดความยึดมั่นถือมั่น จึงปรากฎเรื่องของทานในพระสูตรต่างๆ  และเป็นหนึ่งในบารมี 10 ประการ ที่เป็นธรรมะขั้นต้นในการฝึกตนก่อนเข้าสู่ธรรมะขั้นสูง

ตัวอย่างเหตุการณ์ที่สำคัญคือ เรื่องของ องคุลีมาล ที่แสดงให้เห็นถึงอำนาจของ 'ธรรมทาน' หรือการให้ธรรมะแทนการให้วัตถุสิ่งของ ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้ที่เคยหลงผิดให้กลับกลายเป็นพระอริยบุคคลได้

แม้ว่าในสมัยดังกล่าวจะมีเรื่องราวของ อนาถบิณฑิกะเศรษฐี ซึ่งใช้ทรัพย์มหาศาลซื้อที่ดินถวายสร้างวัดให้พระพุทธเจ้า หรือพระเจ้าพิมพิสารแห่งแคว้นมคธ ที่ถวายสวนหลวงเพื่อเป็นวัดพุทธแห่งแรกในประวัติศาสตร์

 

แต่ในยุคนี้ยังไม่มีแนวคิดหรือความเชื่อที่เชื่อมโยงว่า การให้ทานสามารถเกิดบุญที่เอาไปแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งตอบแทนได้  เช่น ให้ทานเพื่อหวังจะรำ่รวยมากขึ้น ให้ทานเพื่อหวังจะเจริญด้วยลาภยศสรรเสริญ

 

การให้ทานในยุคนี้เป็นแค่หนึ่งในองค์ประกอบของการพัฒนาตนเองเท่านั้น เพื่อที่ลดตัวตนของตนเอง และ เสริมสร้างจิตใจที่เสียสละ โดยในพระไตรปิฎก ได้มีการบันทึกคำสอนไว้เกี่ยวกับทานสูตร ว่า

“ภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตกล่าวว่า ทานที่ให้แล้วด้วยศรัทธา… ด้วยใจเลื่อมใส ด้วยมือสะอาด ด้วยจิตมั่นหมายว่า ‘สิ่งนี้จักสำเร็จผล’ ทานนั้นแล ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก”

 

ภาพจำลองพระเจ้าอโศกมหาราชกับการสร้างสถูปหลายแห่งในชมพูทวีป

 

จุดเปลี่ยน ‘ยุคพระเจ้าอโศกมหาราช’ เมื่อทานกลายเป็นระบบหนึ่งของรัฐ

ในยุคของพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งครองราชย์ราวปี พ.ศ.270-312 พระองค์ได้นำพุทธศาสนาไปสู่ระดับรัฐและประชาชนวงกว้าง โดยใช้หลักธรรมในการปกครองประชาชน รวมถึงการให้ทาน โดยขยายจากการให้ทานกับพระสงฆ์ไปสู่ประชาชนและคนยากไร้

ที่สำคัญคือพระองค์ทรงเผยแพร่คำสอนทางพุทธศาสนาอย่างกว้างขวางตามหลักที่ว่า การให้ธรรมเป็นทานสูงสุด  พร้อมๆ ไปกับการสร้างเจดีย์กว่า 84,000 องค์ทั่วชมพูทวีปเพื่อถวายเป็น ‘พุทธบูชา’

 

การขยายการสร้างเจดีย์ในนัยหนึ่งคือการแสดงถึงความศรัทธา แต่อีกนัยหนึ่งคือการเริ่มสะสมบุญจากการสร้าง ‘พุทธบูชา’ ไปตามพื้นที่ต่างๆ จุดนี้เองที่ทำให้การทำบุญด้วยสิ่งปลูกสร้างกลายเป็นพฤติกรรมหลักของรัฐพุทธในยุคนั้น เพราะเชื่อว่าการสร้างวัด เจดีย์ สถูป เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดผลบุญมาก

 

ในยุคนี้เกิดแนวคิดว่าสามารถแลกบุญกับผลลัพธ์ทั้งในโลกนี้และโลกหน้าได้ จนทำให้เกิด ‘การสะสมบุญ’ ซึ่งแตกต่างจากคำสอนของพุทธศาสนาดั้งเดิม ที่ระบุว่าการให้ทานนั้น แม้ว่าจะมีผลต่อชาตินี้หรือชาติหน้า แต่ต้องทำด้วยเจตนาที่ดีและไม่หวังผล

 

ภาพจำลองการทำบุญของชาวอยุธยา

 

สมัยอยุธยา เมื่อบุญกลายเป็นทุนทางสังคม

ในสมัยนี้มีคำว่า ‘บุญญาธิการ’ ปรากฎขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะในพงศาวดาร หนังสือราชการต่างๆ

คำว่า บุญญาธิการ มีความหมายว่า บุญที่ได้กระทำไว้มากยิ่ง ไว้ใช้สรรเสริญบุคคลสำคัญที่ทำงานแล้วสำเร็จลุล่วงแม้จะมีอุปสรรคหรือความยากลำบากเพียงไรก็สามารถฝ่าฟันไปได้โดยตลอดว่า เป็นผู้มีบุญญาธิการ   โดยจะพบว่าเวลาที่มีคนได้สิ่งใดหรือประสบความสำเร็จ ก็จะบอกว่าเป็นคนมีบุญ นัยหนึ่งคือสังคมไทยถูกหล่อหลอมว่า การประสบความสำเร็จนั้นไม่ใช่แค่มีอำนาจเท่านั้น แต่ต้องมีบุญด้วย

แนวคิดนี้เด่นชัดขึ้น โดยเฉพาะในชนชั้นสูง เช่นการที่พระมหากษัตริย์สร้างวัดหลวงประจำพระราชวัง โดยถือว่าการสร้างวัด เป็นการแสดงบุญญาธิการสูงสุด ของกษัตริย์  หรือการหล่อพระพุทธรูปทองคำ ก็ถือเป็นการเสริมบุญอีกด้วย

ที่น่าคิดตามมาคือ ในยุคนี้จะได้เห็นชนชั้นปกครองใช้บุญเพื่อเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยรักษาสถานะ เสริมบุญบารมีของตน  ในขณะที่ราษฎรจะหวังพึ่ง ‘บุญ’ เพื่อเปลี่ยนฐานะและความเป็นอยู่ของตนในชาตินี้หรือชาติหน้า

 

การศึกษาในสมัยก่อนที่ขึ้นอยู่กับวัด

 

การเปลี่ยนแปลงสมัยร.5 เมื่อคณะสงฆ์ถูกจัดระเบียบ

ก่อนสมัยรัชกาลที่ 5 วัดเป็นศูนย์กลางการศึกษาของสังคมไทย เด็กชายจะเข้าไปบวชเรียนที่วัดเพื่อรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน การอ่านการเขียน และหลักธรรมทางพุทธศาสนา แต่การปฏิรูปการศึกษาในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เปลี่ยนแปลงบทบาทนี้ โดยการประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษา ร.ศ. 121 (พ.ศ. 2445) กำหนดให้เด็กไทยทุกคนต้องได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน นอกจากนี้ยังก่อตั้งโรงเรียนหลวงและโรงเรียนราษฎร์ขึ้นทั่วประเทศ ทำให้ระบบการศึกษาเปลี่ยนจากการเรียนที่วัดมาเป็นการเรียนในโรงเรียนสมัยใหม่ที่มีหลักสูตรแบบตะวันตก

 

การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้บทบาทของวัดในฐานะศูนย์กลางการศึกษาของชุมชนลดลง วัดสูญเสียงบประมาณสนับสนุนจากรัฐที่เคยได้รับในฐานะสถาบันการศึกษา วัดต้องพึ่งพาการทำบุญจากประชาชนมากขึ้นเพื่อความอยู่รอด เกิดการแข่งขันระหว่างวัดในการดึงดูดศรัทธาจากประชาชน บางวัดเริ่มปรับตัวด้วยการสร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือวัตถุมงคลเพื่อดึงดูดผู้ที่ต้องการทำบุญ

 

ต่อมาในปี พ.ศ.2475 กระแสทุนนิยมเริ่มเข้ามาในประเทศไทย และเกิดการตั้งคำถามเกี่ยวกับทรัพย์สินและที่ดินของวัดซึ่งมีจำนวนมากแต่ไม่ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ จนทำให้มีการออกกฎหมายและระเบียบต่างๆ เพื่อควบคุมการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัด 

 

เช่น พระราชบัญญัติควบคุมการเรี่ยไร พ.ศ. 2487 ที่กำหนดให้การเรี่ยไรเพื่อศาสนาต้องได้รับอนุญาตจากทางการ หรือ การจัดตั้งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (เดิมคือกองพุทธศาสนสถาน) เพื่อดูแลกิจการและทรัพย์สินของวัด เป็นต้น

วัดบางแห่งเริ่มหาบทบาทใหม่ในสังคมและเกิดการสร้างและจำหน่ายวัตถุมงคลเพื่อระดมทุนในการบำรุงวัด รวมไปถึงวัดเริ่มพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางศาสนาและวัฒนธรรม

 

จอมพลสฤษดิ์ฺ ธนะรัชต์

 

จอมพลสฤษดิ์ กับแนวคิด ‘ทำบุญเสริมโชคลาภ’ ที่เฟื่องฟู

ยุคนี้เป็นยุคที่เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด ขณะเดียวกันรัฐภายใต้ยุคจอมพลสฤษดิ์ ได้อนุมัติงบประมาณจำนวนมากเพื่อกิจการพุทธศาสนา และกำหนดให้การส่งเสริมพุทธศาสนาเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐ จอมพลสฤษดิ์เองมักจะปรากฎในงานสำคัญของวัดหลายแห่ง และอุปถัมภ์พระเกจิอาจารย์ชื่อดังหลายรูป

 

ในยุคนี้ก็เกิดพระเกจิชื่อดังของเมืองไทยที่ได้รับความนิยมสูงทั้งในสายด้านวิปัสสนาและอิทธิปาฎิหาริย์ จนผู้คนแสวงหาพระอาจารย์เหล่านี้เพื่อดลบันดาลโชคลาภและความสำเร็จให้แก่ตนเอง

 

ขณะเดียวกันวัตถุมงคลในเชิงของพาณิชย์ก็ได้รับความนิยมสูงสุดในประวัติศาสตร์ มีการจัดประกวดพระเครื่องและตลาดซื้อขายพระเครื่องอย่างเป็นระบบ เพราะเชื่อว่าการครอบครองวัตถุมงคลเหล่านี้เป็นการสะสมบุญและนำโชคลาภมาให้  รวมไปถึงเกิดความเชื่อที่ว่าทำบุญกับพระที่มีบารมีสุงจะได้บุญมากกว่า

ส่วนวัดเองที่ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดก็ปรับตัวเข้ากับความต้องการของผู้ทำบุญดังกล่าว สร้างพิธีกรรมและกิจกรรมที่ตอบสนองต่อผู้มาทำบุญ จนเรียกได้ว่ายุคนี้เป็นจุดเริ่มต้นของ ‘พุทธพาณิชย์’ อย่างเต็มรูปแบบ

 

ทั้งนี้ ในงานวิจัยของพระมหาหรรษา ธมฺมหาโส (นิธิบุณยากร) เรื่อง "พุทธศาสนากับการเมืองไทยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ถึงปัจจุบัน" พบว่าช่วงรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์มีการใช้พุทธศาสนาเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมและความเป็นปึกแผ่นของชาติอย่างชัดเจน

 

 

.

.

 

หลังจากนั้นก็เป็นไปอย่างเช่นปัจจุบัน จนสังคมต้องออกมาตั้งคำถามถึงความอู้ฟู่ของวัด ซึ่งเกินกว่าที่ 'พระ' จำเป็นจะต้องมี!

 

ล่าสุดกับกรณีทิดแย้ม

 

ไทม์ไลน์ประวัติศาสตร์ที่ย้อนให้เห็นนี้ หวังว่าคงทำให้ ‘คนไทย’ ต้องกลับไปนั่งคิดทบทวนให้ดี ว่า ‘ความเชื่อ’ ที่มีว่าทำบุญมากจะร่ำรวย ทำบุญมากยิ่งได้ยศฐาบรรดาศักดิ์นั้น เป็นคำสอนของพุทธศาสนาจริงหรือไม่

 

หรือสุดท้าย เพียงแค่ว่า เรากำลังตกเป็นเครื่องมือของ รัฐ การเมือง ทุนนิยม เท่านั้น.

 

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด เชลซี พบ เอฟเวอร์ตัน พรีเมียร์ลีก วันนี้ 13 ธ.ค.68