'มลพิษอากาศ' มีผลต่อ 'ความดันโลหิตสูง' โยงถึงหัวใจและหลอดเลือด!
เมื่อ 'มลพิษทางอากาศ' มีผลต่อ 'ความดันโลหิตสูง' ซึ่งเกี่ยวโยงกับโรคหัวใจและหลอดเลือด ท่ามกลางตัวเลขคนไทยเป็นความดันโลหิตสูงถึง 14 ล้านคน หรือ 1 ใน 5
สมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย เคยเผยแพร่บทความหนึ่งที่ศึกษาเชิงลึกเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างมลพิษทางอากาศและความดันโลหิตสูงไว้ว่า
ความสัมพันธ์ระหว่างมลพิษทางอากาศและความดันโลหิตสูงถือเป็นหนึ่งในความท้าทายด้านสาธารณสุขที่สำคัญที่สุดและยังไม่ได้รับการศึกษาอย่างเพียงพอในปัจจุบัน แม้ว่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) จะเป็นที่รู้จักมานานว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพโดยรวม แต่งานวิจัยล่าสุดได้เผยให้เห็นถึงผลกระทบของ PM2.5 ต่อการควบคุมความดันโลหิต
ทั้งนี้ การศึกษาในบุคลากรกองทัพไทยระหว่างปี พ.ศ. 2561 ถึง 2563 พบว่า ทุก ๆการเพิ่มขึ้นของค่าฝุ่นละออง PM2.5 เพียง 1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคความดันโลหิตสูงถึงร้อยละ 2
ผลจากการศึกษานี้ไม่ใช่เพียงการศึกษาเดียว แต่มีหลักฐานจากทั่วทั้งเอเชียว่าหลายเมืองประสบกับมลพิษทางอากาศรุนแรงเป็นประจำ และการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดที่เชื่อมโยงกับคุณภาพอากาศที่ไม่ดีได้พุ่งสูงขึ้นถึงระดับที่น่าตกใจ
วารสาร European Heart Journal ได้ตีพิมพ์ผลการวิจัยล่าสุด ที่ชี้ว่าผลกระทบของมลพิษทางอากาศต่อสุขภาพหัวใจอาจรุนแรงที่สุดในประเทศแถบเอเชีย โดยการศึกษาเหล่านี้เผยให้เห็นว่าไม่ใช่แค่การสัมผัสในระยะสั้นเท่านั้นที่สำคัญ
แต่การอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีมลพิษทางอากาศเรื้อรังสามารถค่อย ๆ ผลักดันให้ความดันโลหิตสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตามเวลา
สร้างผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดที่อาจไม่ปรากฏให้เห็นจนกว่าจะผ่านไปหลายปี
กลไกลการเกิดโรค
สมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย ยังได้กล่าวถึงกลไกทางพยาธิสรีรวิทยา หรือ กลไกที่ก่อให้เกิดการทำงานที่ผิดปกติไปของเซลล์ เนื้อเยื่อ หรืออวัยวะต่างๆ ว่า
กลไกพยาธิสรีรวิทยาของผลกระทบจากมลพิษทางอากาศต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดเกิดขึ้นในระดับเซลล์ เมื่อฝุ่นละอองขนาดเล็กเข้าสู่กระแสเลือด จะเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ซับซ้อน โดยอนุภาคเหล่านี้ จะทำปฏิกิริยากับโมเลกุลในร่างกาย ก่อให้เกิดสารอนุมูลอิสระออกซิเจน (reactiveoxygen species) และไนโตรเจน (reactive nitrogen species) ซึ่งส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์เยื่อบุผนังหลอดเลือด
ความเสียหายดังกล่าวส่งผลกระทบหลายประการ ได้แก่ การทำงานที่ผิดปกติของเซลล์เยื่อบุผนังหลอดเลือดที่ควบคุมการคลายตัว การกระตุ้นการทำงานของระบบ hypothalamic-pituitary-adrenal (HPA) axis ที่มากเกินไป ส่งผลให้หลอดเลือดหดตัวและการเกิดกระบวนการอักเสบที่ทำให้หลอดเลือดแดงมีความยืดหยุ่นลดลงและตอบสนองต่อกลไกควบคุมตามปกติได้น้อยลง
ทั้งนี้ พบว่าประชากรบางกลุ่มมีความเสี่ยงสูงกว่ากลุ่มอื่นโดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน ผู้ที่มี พฤติกรรมเนือยนิ่ง หรือผู้ที่มี พฤติกรรมการบริโภคที่ไม่เหมาะสมเนื่องจากร่างกายมีความสามารถในการตอบสนองต่อความเครียดออกซิเดชันที่ลดลง
พบคนไทยป่วยโรคความดันโลหิตสูงทะลุ 7.4 ล้านคน
จากรายงานการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 6 (พ.ศ. 2562 - 2563) พบว่า ความชุกโรคความดันโลหิตสูงของประชาชนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป เพิ่มสูงขึ้นเป็นร้อยละ 25.4 หรือประมาณ 14 ล้านคน จากร้อยละ 24.7 หรือประมาณ 13 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2557 และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ล่าสุด กรมควบคุมโรคเปิดเผยข้อมูลจากระบบรายงานของกระทรวงสาธารณสุข ณ วันที่ 6 พฤษภาคม 2568
พบว่ามีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ขึ้นทะเบียนรักษาเพียง 7.4 ล้านคน และผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาแต่ยังควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ได้มีมากถึง 3.5 ล้านคน
ทั้งนี้การควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติเป็นสิ่งสำคัญ แม้โรคความดันโลหิตสูงมักจะไม่มีอาการแต่หากไม่สามารถควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมได้ในระยะยาวจะส่งผลให้เกิดโรคแทรกซ้อนตามมา ได้แก่ โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคหัวใจขาดเลือด และโรคไตวายเรื้อรัง ส่งผลให้ผู้ป่วยพิการหรือเสียชีวิตได้
สำหรับระดับความดันโลหิตที่เหมาะสมนั้น มีเกณฑ์ดังนี้
- ระดับความดันโลหิตน้อยกว่า 120/80 มิลลิเมตรปรอท ถือเป็นระดับที่เหมาะสม
- ระดับความดันโลหิตตั้งแต่ 130/80 มิลลิเมตรปรอท ถือว่าอยู่ในระดับเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง ควรต้องเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
- ระดับความดันโลหิตตั้งแต่ 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป ถือว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง ควรพบแพทย์ เพื่อวินิจฉัยโรคความดันโลหิตสูงและเข้ารับการรักษาที่เหมาะสม
- ระดับความดันโลหิตตั้งแต่ 180/110 มิลลิเมตรปรอท ถือว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูงอันตราย ควรรีบพบแพทย์โดยด่วนเพื่อวินิจฉัยโรคความดันโลหิตสูงและเข้ารับการรักษาทันที
วิธีการดูแลสุขภาพปราศจากโรคความดันโลหิตสูง
สมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย แนะนำวิธีการหลีกเลี่ยงมลพิษทางอากาศที่ส่งผลต่อโรคความดันโลหิตสูงดังนี้
- สวมหน้ากากชนิด N95 ในช่วงที่มลพิษพุ่งสูง และแม้เครื่องฟอกอากาศในบ้านจะไม่ใช่ทางแก้ที่ดีที่สุด แต่ก็ได้รับการพิสูจน์ผ่านการศึกษาหลายครั้งว่าช่วยลดความดันโลหิตซิสโตลิกเมื่อใช้อย่างสม่ำเสมอ
- อาหารที่รับประทานที่เหมาะสมเช่น อาหารเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระจากผลไม้ ผักสด และน้ำมันมะกอก ช่วยต่อต้านผลเสียจากมลพิษ
- การออกกำลังกายยังคงมีความสำคัญเพราะให้ประโยชน์ต่อหัวใจและหลอดเลือดอย่างมาก แต่ควรตรวจสอบรายงานคุณภาพอากาศ เลือกเวลาและสถานที่ที่มีมลพิษน้อยสำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง
- ชุมชนสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกผ่านการวางผังเมืองที่รอบคอบ การสร้างพื้นที่สีเขียวไม่ใช่แค่เพื่อความสวยงามเท่านั้น ต้นไม้และพืชยังช่วยกรองมลพิษทางอากาศ
- การเพิ่มการขนส่งสาธารณะและการจัดตั้งเขตปล่อยมลพิษต่ำแสดงผลลัพธ์ที่ดีในเมืองที่ได้นำมาตรการเหล่านี้มาใช้
- การรณรงค์ให้ความรู้แก่สาธารณชนอย่างเหมาะสมจะสามารถช่วยให้ผู้คนเข้าใจว่าจะป้องกันตัวเองในช่วงที่มีมลพิษสูงเมื่อไหร่และอย่างไร
ด้านกรมควบคุมโรค ก็ได้ให้ความรู้ในประเด็นดังกล่าวไว้เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมาเช่นกัน โดยเฉพาะกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงแล้ว โดย นายแพทย์สุทัศน์ โชตนะพันธ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ควรกินยาตามแพทย์สั่ง ไม่ควรหยุดยาเอง เพื่อให้สามารถควบคุมระดับความดันโลหิตได้ ร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ได้แก่
- การควบคุมน้ำหนัก ให้มีค่าดัชนีมวลกาย ระหว่าง 18.5 - 22.9 กิโลกรัมต่อตารางเมตร
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ทุกมื้อ โดยในแต่ละมื้อมีปริมาณอาหารที่เหมาะสม ด้วยสูตรเมนูอาหาร 2:1:1 “ผัก 2 ส่วน : ข้าว 1 ส่วน : เนื้อสัตว์ 1 ส่วน”
- หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มหรืออาหารที่มีโซเดียมสูง ประชาชนทั่วไปควรจำกัดปริมาณโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน และผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงควรจำกัดปริมาณโซเดียมอย่างเข้มงวด คือ ไม่เกิน 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน
- การออกกำลังกายระดับหนักปานกลาง เช่น แอโรบิก ว่ายน้ำ เดินเร็ว ปั่นจักรยาน สะสมอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือ 30 นาทีต่อวัน ก็เป็นสิ่งสำคัญ ร
- งดการดื่มสุรา เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงการสูดควันบุหรี่ด้วย


