posttoday

เข้าใจ ‘นวัตกรรมผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ’ แบบไหนเหมาะกับตัวเอง

07 พฤษภาคม 2568

เข้าใจ ‘นวัตกรรมผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ’ แบบไหนเหมาะกับตัวเอง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงวัย! หลังพบคนไทยเสียชีวิตราว 4 หมื่นคนต่อปี

โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ และราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จัดเสวนา ‘นวัตกรรมการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ' แผลเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็ว  วันนี้ (7 พฤษภาคม 2568 ) เผยถึงอันตรายจากโรคลิ้นหัวใจรั่ว รวมไปถึงนวัตกรรมการผ่าตัดแบบไหนที่เหมาะสมกับผู้ป่วย 

 

สถานการณ์โรคลิ้นหัวใจในปัจจุบัน

นพ.สุขสันต์ กนกศิลป์ หัวหน้างานศัลยกรรมหัวใจและทรวงอก แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมหัวใจและทรวงอก โรงพยาบาลจุฬาภรณ์  กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์โรคหัวใจ ทั้งลิ้นหัวใจและหลอดเลือดหัวใจมีปริมาณมากขึ้น จำนวนคนที่เป็นมากขึ้นร่วมกับการตรวจวินิจฉัยตรวจได้เร็วและกว้างขวางมากขึ้น จึงทำให้พบจำนวนมากขึ้น

จากสถิติของกระทรวงสาธารณสุข ปี 2566 พบว่า มีจำนวนผู้ป่วยสะสมด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดมากกว่า 2.5 แสนราย และเสียชีวิตด้วยโรคดังกล่าวนี้มากถึง 4 หมื่นราย  นอกจากนี้ยังมีข้อบ่งชี้ว่าอุบัติการณ์ของโรคหัวใจ โดยเฉพาะ ‘โรคลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ’ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มผู้สูงอายุ โดยพบมากขึ้นในผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป

นพ.สุขสันต์ กล่าวถึงสาเหตุของโรคลิ้นหัวใจว่า  เกิดจากหลากหลายสาเหตุ โดยหลักๆ คือ ในผู้สูงอายุ จะเกิดจากความเสื่อมตามธรรมชาติ  นอกจากนี้ยังมีจากสาเหตุอื่น เช่น การติดเชื้อ โดยการติดเชื้อหลายๆ ครั้งเกิดจากเชื้อโรคจากการไม่รักษาอนามัยของช่องปาก ลำคอ มีอาการฟันผุ เหล่านี้จะทำให้ลิ้นหัวใจเกิดอาการติดเชื้อได้ หรืออีกสาเหตุคือเป็นตั้งแต่กำเนิด

 

สำหรับอาการของโรคลิ้นหัวใจ จะมีอาการหลักๆ คือ แน่นหน้าอก แม้ว่าอาการจะแยกยากจากกลุ่มหลอดเลือดหัวใจ แต่ที่ควรสังเกต คือ อาการเหนื่อยง่าย บางรายมีอาการเหงื่อออกร่วมกัน ซึ่งหากพบอาการควรจะมาปรึกษาแพทย์เพื่อได้รับการวินิจฉัย

 

นวัตกรรมการรักษาโรคลิ้นหัวใจ

นพ.สุขสันต์ ให้ข้อมูลในประเด็นการรักษาว่า  ลักษณะของโรคลิ้นหัวใจจะมีทั้ง ‘ลิ้นหัวใจรั่ว’ และ ‘ลิ้นหัวใจตีบ’ ซึ่งทำให้เสียชีวิตได้ โดยสามารถแบ่งระยะของโรคตามอาการและการใช้ชีวิตประจำวันแบบง่าย ๆ เป็น 3 ระยะ คือ

  • ระยะเป็นน้อย ส่วนใหญ่จะดูอาการและรักษาด้วยยาเป็นหลัก
  • ระยะปานกลาง กลุ่มที่อยู่ในระดับปานกลางก็จะต้องดูเป็นรายๆ ไป บางรายต้องเข้ารับการผ่าตัด
  • ระยะรุนแรง กลุ่มที่อยู่ในระยะรุนแรงจะต้องได้รับการผ่าตัด 

สำหรับนวัตกรรมในปัจจุบัน มนุษย์ได้พัฒนาลิ้นหัวใจเทียมขึ้นมากว่า 50 ปี เริ่มต้นจากพลาสติกและโลหะ และพัฒนามาเรื่อยๆ ปัจจุบันเป็นเซรามิกเสียส่วนใหญ่  กับอีกกลุ่มหนึ่ง คือ ลิ้นหัวใจเทียมที่พัฒนาจากเนื้อเยื่อหัวใจของหมูและวัว ซึ่งจะผลิตให้โครงสร้างคล้ายของมนุษย์และนำมาใช้ในการผ่าตัดรักษา

 

ประเภทของลิ้นหัวใจเทียมแต่ละชนิดจะเหมาะกับคนไข้คนละกลุ่ม ปัจจุบันไดรับการพัฒนาจากเนื้อเยื่อของวัวและหมู ทดแทนเพื่อการผ่าตัดสำหรับกลุ่มคนสูงอายุ มากกว่า 60 ปีขึ้นไป เนื่องจากว่า หากใช้โลหะ ในกลุ่มลิ้นโลหะ จะต้องให้ยาละลายลิ่มเลือดตลอดชีวิต ซึ่งจะพบความเสี่ยงต่อการกินยาละลายลิ่มเลือด แต่หากใช้แบบเนื้อเยื่อ จะเปลี่ยนชนิดของยา จะใช้ยาละลายเกล็ดเลือด ซึ่งเป็นยาคนละกลุ่มและอันตรายลดลง

 

 

ส่วนในกลุ่มคนอายุน้อยจะแนะนำให้ใช้ลิ้นโลหะและเซรามิก เพราะอายุการใช้งานของลิ้นนานกว่า เนื่องจากแบบเนื้อเยื่ออายุการใช้งานจะอยู่ที่ 15-20 ปี เท่านั้นก็ต้องผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นใหม่

 

แม้ว่าการผ่าตัดหัวใจจะเป็น ‘การผ่าตัดใหญ่’  สมัยก่อนถือว่าเป็นการผ่าตัดอันตราย แต่ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีการผ่าตัดและเทคนิคการผ่าตัดที่พัฒนาขึ้น จึงทำให้คนไข้เสียชีวิตลดลง

 

" แต่สถิติก็ไม่สามารถเป็นศูนย์ได้ เพราะคนไข้จะปลอดภัยระหว่างการผ่าตัด แต่บางรายมีผลจากโรคร่วมที่เคยมี อย่างไรก็ตามเราก็ทำให้น้อยลงได้เยอะมาก จนระยะเวลาต่างๆ เทียบเท่ากับการผ่าตัดอื่นๆ แม้จะเป็นการผ่าตัดใหญ่ก็ตาม” นพ.สุขสันต์ระบุ

 

สำหรับระยะเวลาการผ่าตัดลิ้นหัวใจใช้เวลาราว 3-4 ชั่วโมงต่อราย และอยู่ใน ICU 2-3 คืน เมื่อฟื้นตัวก็จะต้องอยู่พักฟื้นรวมแล้วราว 1 สัปดาห์ ก็สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติหากสามารถดูแลตัวเองได้   นอกจากนี้ขนาดของแผลจากเดิมที่เป็นรอยยาวกลางหน้าอกมากกว่าหนึ่งคืบ ปัจจุบันแผลผ่าตัดเล็กไม่เกิน 10 เซนติเมตร หรือหากมีการใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดซึ่งยังไม่เหมาะกับการใช้ทั่วไป เนื่องจากยังราคาสูง ก็จะมีแค่แผลรูเจาะเท่านั้น

 

 

นวัตกรรมการผ่าตัดลิ้นหัวใจแบบไม่ต้องผ่าตัด

นพ.วิโรจน์ เมืองศิลปศาสตร์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์หัวใจและหลอดเลือด แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์โรคหัวใจและหลอดเลือด  กล่าวถึงเทคโนโลยีทีการผ่าตัดสิ้นหัวใจแบบใช้วิธีสายสวนว่า เทคโนโลยีนี้เกิดขึ้นมาในกลุ่มที่มีข้อบ่งชี้ในการผ่าตัด  เราจะพบว่าผู้ป่วยลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ ระยะเวลาการดำเนินโรคเป็นปีจนเกิดภาวะรุนแรง ซึ่งในสมัยก่อนจะเกิดในกลุ่มสูงอายุที่มีอายุมากกว่า 70 ปีขึ้นไป กลุ่มเหล่านี้จะมีโรคร่วมด้วย จึงมีความเสี่ยงสูงในการผ่าตัด

 

นวัตกรรมการผ่าตัดลิ้นหัวใจแบบวิธีสายสวนจึงเกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีก่อน

 

อย่างไรก็ตาม นพ.วิโรจน์ กล่าวว่า แม้ว่าจะมีการผ่าตัดด้วยวิธีการนี้ แต่การจะเลือกวิธีการรักษาต้องขึ้นอยู่กับอาการและลักษณะโรคของผู้ป่วย จะต้องมีการประเมินและพิจารณาอย่างรอบคอบว่าควรจะรักษาโรคด้วยวิธีไหนถึงจะดีที่สุด  สำหรับคนไข้ที่เหมาะกับสายสวน คือ เป็นกลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงต่อการผ่าตัด เช่น มีโรคประจำตัวเยอะ อายุเยอะ เป็นต้น

 

หลายคนมีอายุไม่มาก ชอบถามหมอว่าทำไมไม่ทำผ่านการสายสวนให้ ก็ต้องตอบว่า เพราะการผ่าตัดลิ้นหัวใจมีผลรับรองมาแล้วไม่ต่ำกว่า 40-50 ปี มีข้อมูลมาก แต่การผ่าตัดด้วยเทคโนโลยีสายสวนมีข้อมูลเพียง 10 ปี และข้อมูลส่วนใหญ่จะใช้กับผู้ป่วยสูงอายุเท่านั้น สิ่งที่ควรคิดถึงเวลารักษาคือต้องมองผลการรักษาระยะยาวและประโยชน์ระยะยาวด้วย

 

 

ทั้งนี้ จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า โรคลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ ซึ่งเป็นโรคลิ้นหัวใจยอดฮิตนั้น สามารถป้องกันได้มากถึง 80% โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ดังนี้

  • อาหาร เลือกทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ลดอาหารที่มีรสหวาน มัน เค็ม
  • อารมณ์ ควบคุมอารมณ์ ความเครียด ทำจิตใจให้แจ่มใส
  • ออกกำลังกาย ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน หรือสะสม 150 นาทีต่อสัปดาห์
  • อากาศ หลีกเลี่ยงมลพิษทางอากาศและอากาศที่มีฝุ่นควัน
  • ไม่สูบบุหรี่และไม่ดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ 
  • นอนหลับ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 7-9 ชั่วโมงต่อวัน
  • ควรตรวจสุขภาพประจำปี  หรือตรวจคัดกรองปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรค

ข่าวล่าสุด

SME D Bank คิกออฟ ปั้นเอสเอ็มอี - สตาร์ทอัพ สู่ตลาดหลักทรัพย์ ปีที่ 3