ทำไม? โลกต้องการผู้หญิงในที่ทำงานมากขึ้น พบแค่มีผู้หญิงก็สะเทือน GDP !
ทำไม? โลกต้องการผู้หญิงในที่ทำงานมากขึ้น เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ จุดเริ่มต้นของวันสตรีสากล ที่ไม่ได้สะเทือนแค่เรื่อง 'ความเท่าเทียม' แต่ยังส่งผลถึงเศรษฐกิจและสะเทือน GDP !
วันสตรีสากล (8 มีนาคม ) นอกจากวันนี้จะเป็นวันที่ระลึกถึงความเท่าเทียมของ ‘ผู้หญิง’ แท้จริงวันนี้ยังเป็นวันที่เรียกได้ว่า เป็นจุดเริ่มต้นบทบาทของ ‘ผู้หญิง’ ในระบบเศรษฐกิจ ที่สั่นสะเทือนจนถึงการปรับเปลี่ยนระบบในอุตสาหกรรม ต้นทุน และสุดท้ายกระทบถึง GDP!
จุดเริ่มต้นของวันสตรีสากล
จุดเริ่มต้นของวันสตรีสากลเกิดขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งเริ่มที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 1908 กลุ่มแรงงานที่อยู่ในอุตสาหกรรมสิ่งทอได้รวมตัวกันกว่า 15,000 คน เพื่อเดินประท้วงเรียกร้องสิทธิแรงงาน โดยมีข้อเรียกร้องที่สำคัญ คือ การลดชั่วโมงการทำงานให้น้อยลง ให้ค่าจ้างที่เป็นธรรมและเท่าเทียมกับแรงงานชาย รวมไปถึงอยากจะได้สิทธิในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าว ผู้หญิงจะต้องมีชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานมากกว่า 12 ชั่วโมงต่อวัน แต่กลับได้ค่าจ้างที่ต่ำกว่าผู้ชายอย่างไม่เป็นธรรม อีกทั้งสภาพแวดล้อมในการทำงานก็ไม่ปลอดภัย หลังจากนั้นจึงมีการกำหนดวันสตรีแห่งชาติขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 1909 โดยพรรคสังคมนิยมอเมริกัน อย่างไรก็ตามในปี 1911 เกิดโศกนาฏกรรมไฟไหม้โรงงานสิ่งทอ Triangle Shirtwaist Factory ในนิวยอร์ก ซึ่งมีแรงงานหญิงเสียชีวิตถึง 146 คนเนื่องจากโรงงานล็อกประตูขณะทำงาน ทำให้พนักงานไม่สามารถหนีออกมาได้ จนทำให้รัฐบาลสหรัฐฯต้องปฏิรูปกฎหมายแรงงานและปรับปรุงสภาพการทำงานของแรงงานหญิง
จากจุดเริ่มต้นที่นิวยอร์กนี้เอง ได้ขยายไปทั่วโลก ในปี 1910 เกิดการประชุมสตรีสากลในโคเปเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก โดย Clara Zetkin นักเคลื่อนไหวชาวเยอรมัน เสนอให้มี "วันสตรีสากล" เพื่อส่งเสริมสิทธิของผู้หญิงทั่วโลก นอกจากนี้วันสตรีสากลยังถูกจัดตั้งครั้งแรกในหลายประเทศในปีต่อมา เช่น ออสเตรเลีย เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์
จนกระทั่งปี 1975 องค์การสหประชาชาติ หรือ UN ได้รับรองให้วันที่ 8 มีนาคม เป็นวันสตรีสากลอย่างเป็นทางการ
แรงสะเทือนไปถึงภาคธุรกิจ
ในช่วง 1920 เป็นช่วงที่การเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรีเริ่มส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผู้หญิงเริ่มมีสิทธิเลือกตั้ง ได้รับโอกาสทางการศึกษา และเข้าสู่ตลาดแรงงานในระดับที่สูงขึ้น
แม้ว่าภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจจะต้องเผชิญกับต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น เพราะต้องจ่ายค่าแรงผู้หญิงตามค่าจ้างขั้นต่ำที่มีการกำหนด ค่าใช้จ่ายต่อการปรับตัวต่อกฎหมายใหม่ โดยเฉพาะกฎหมายที่ครอบคลุมมาตรฐานความปลอดภัยในโรงงาน เช่น ลงทุนเรื่องระบบดับเพลิง ประตูทางออกฉุกเฉิน และสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย รวมไปถึงกฎหมายที่เกี่ยวกับสวัสดิการสำหรับแรงงานหญิงเช่น วันลาคลอด หยุดตั้งครรภ์โดยไม่ต้องลาออก และแรงกัดดันจากสหภาพแรงงานที่มีความเข้มแข็งขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ผลจากการปฏิรูปในคราวนั้นส่งผลถึงปัจจุบัน เมื่อพบว่าการมีส่วนร่วมของผู้หญิงในภาคอุตสาหกรรมช่วยเพิ่ม GDP ผ่านการเพิ่มแรงงาน การยกระดับประสิทธิภาพ และนวัตกรรมทางธุรกิจ อาทิ
- รายงานของ McKinsey ในปี 2020 ได้มีการประเมินว่าหากส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศในอุตสาหกรรม จะช่วยเพิ่ม GDP โลกได้ถึง 12-28 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปีนี้ และถ้ามีผู้หญิงเท่ากับผู้ชายในอุตสาหกรรม GDP จะเพิ่มขึ้นถึง 26%
- ส่วนรายงานจาก World Economic Forum ปี 2023 ระบุว่า หากปิดช่องว่างทางเพศในแรงงาน GDP อาจเพิ่มขึ้นถึง 35% ในบางประเทศ แต่ถ้าผู้หญิงได้ทำงานในอัตราเดียวกับผู้ชาย เศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะเติบโตถึง 1.6 ล้านล้านดอลลาร์
- กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) พบว่า การเพิ่มอัตราการจ้างงานของผู้หญิงเพียง 1% อาจช่วยเพิ่ม GDP ได้ 0.16% ในประเทศที่พัฒนาแล้ว และในประเทศกำลังพัฒนาผลกระทบจะสูงขึ้น โดย GDP อาจเพิ่มขึ้น 0.34%
- ส่วน OECD และธนาคารโลก ประเมินว่า บริษัทที่มีผู้หญิงในตำแหน่งผู้นำมากขึ้น มีอัตราการทำกำไรสูงขึ้นถึง 15% และประเทศที่มีแรงงานหญิงมาก เช่น สวีเดนและนอร์เวย์ มี GDP ต่อหัวสูงกว่าประเทศที่มีช่องว่างทางเพศสูง
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมที่ผู้หญิงสามารถเพิ่มมูลค่าให้ GDP ได้มากที่สุด ได้แก่
- เทคโนโลยีและวิศวกรรม (STEM) หากทำได้ GDP โลกอาจเพิ่มขึ้นถึง 2.5 ล้านล้านดอลลาร์
- อุตสาหกรรมการผลิตและการค้า จะเพิ่มขึ้นถึง 30%
- ผู้ประกอบการ สร้างมูลค่าให้เศรษฐกิจโลกสูงถึง 5-6 ล้านล้านดอลลาร์
โดยมีการศึกษาเกิดขึ้นอย่างในประเทศอินเดีย พบว่า หากเพิ่มอัตราการทำงานของผู้หญิง GDP อาจเพิ่มขึ้น 700 พันล้านดอลลาร์ ภายในปี 2025 ส่วนจีนก็จะทำให้เศรษฐกิจอาจขยายตัวมากกว่า 2.5 ล้านล้านดอลลาร์ เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ตามข้อมูลจากILOSTAT ในปี 2023 พบว่าช่องว่างค่าจ้างระหว่างเพศยังคงมีอยู่ในหลายอุตสาหกรรมและอาชีพ ในประเทศไทยนั้นอัตราการมีส่วนร่วมของผู้หญิงก็ยังต่ำกว่าผู้ชายอยู่ราว 20%
.
.
จากการเปลี่ยนแปลงในยุค 1920 ที่ทำให้เกิดวันสตรีสากล จึงสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจ จากการที่ผู้หญิงมีบทบาทมากขึ้นในอุตสาหกรรมจากนั้นเป็นต้นมา.


